ศศิเพ็ญ จันทร์ศรี…เปรี้ยว มันส์ ซ่าส์

ไม่ว่าจะเป็น Ad มันส์ๆของ “Playground” ที่เอา”สาวพอลล่า”หน้าหวานมาแต่งเยิน ตาบวม ปากฉีก หรือแฟชั่นแหวกๆของ “Manga” ที่มีนายแบบเป็น”ดร.สุเมธ ชุมสาย” ศิลปินแห่งชาติ กี่คนจะรู้ว่าเบื้องหลังคือหญิงซ่าส์คนนี้ “ต้อบ-ศศิเพ็ญ จันทร์ศรี” Marketing Manager แห่ง Playground และ Manga เธอว่า เธอรักงานประจำมากกว่าธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ แม้จะ“เครียดกว่า เงินน้อยกว่า” หากแต่”มันสนุก ท้าทาย และได้สนองตัณหาตัวเอง”

ชีวิตการศึกษาของเธอไม่ได้อยู่ในกรอบที่ดีงามนัก หลังจากโดนไทร์จากม.กรุงเทพ ต้อบเลือกเรียนภาพยนตร์ที่ม.รังสิต ทว่ากว่าจะเรียนจบ เธอใช้เวลานานถึง 7 ปี ทั้งที่ทำวิทยานิพนธ์เสร็จแล้ว แต่เหลือแต่วิชาพื้นฐานอีก 6 ตัว

“ตอนนั้นนิสัยไม่ค่อยดี แม่ให้เงินมาลงเรียน แต่ถอนเงินมาใช้ซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า ไปเที่ยว ยิ่งตอนหลังทำงานได้เงินค่อนข้างมากเลยไม่อยากกลับไปเรียนแล้ว”

ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เป็นคนแสวงหาโอกาส ต้อบจึงเป็นคนแรกของรุ่นที่ได้งานตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2

“เป็นนิตยสารภาษาอังกฤษชื่อ Caravan Magazine ชอบงาน Food Stylist ก็เลยwalk-in เข้าไปโดยมล.จิราธร จิรประวัติ เป็นคนแนะนำ (เพื่อนบอกกับอาจารย์โตว่าเราเป็นแฟนคลับ) จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการรู้จักแวดวงต่างๆ”

ต่อมา ต้อบมีโอกาสเป็นครีเอทีฟค่ายเพลงอินเตอร์นาม Polygram Records อยู่หนึ่งปี ดูแลทั้งงานด้าน Art Direction อย่างปกเทป มิวสิควีดิโอ ฯลฯ และการวางกลยุทธ์การตลาดให้ศิลปินอย่างเจ-มณฑล จิรา โดยบอกทางบริษัทว่าตนเรียนจบแล้ว แต่มหาวิทยาลัยอยู่ไกลไม่สะดวกไปรับหลักฐานการศึกษา

เธอเลือกเรียนภาพยนตร์ด้วยเหตุที่ว่ามีภาษาอังกฤษน้อยที่สุด แต่ลึกๆแล้วเธอชอบดูมิวสิกวีดิโอเป็นพิเศษโดยเฉพาะภาพสวยๆในงานกำกับของเก้ง-จิระ มะลิกุล “ตอนเรียนก็ไม่ได้เป็นที่รักของอาจารย์เลย เพราะว่ามาก็สาย มัวแต่แต่งตัว ไม่เข้าห้องเรียน ไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อน เพราะเราไม่เหมือนใคร แต่งานเราจะได้ A ตลอด”

ที่ไม่เหมือนใครเพราะต้อบชอบแต่งตัวมาก “คิดแล้วว่าการแต่งตัวไม่ใช่เรื่องสาระ เพระเราได้คิดแล้วว่า composition เป็นยังไง การ match สีเป็นยังไง”

จากค่ายเพลง ต้อบยังคง”ท้าทายวุฒิการศึกษา”ที่ยังไม่ได้มา ด้วยการเปิดบริษัทรับแต่งสวนและทำกราฟฟิคดีไซน์ ด้วยความที่ชอบปลูกต้นไม้ สืบเนื่องจากคุณพ่อที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ชอบซื้อหนังสือบ้านและสวนมาให้เธออ่านตั้งแต่เด็ก

“คนไทยชอบทำอะไรเหมือนๆกันหมด คือเราอยากทำอะไรที่รัก ถึงได้เงินเยอะแต่มันไม่สนุก” หลังจากนั้นต้อบสั่งสมประสบการณ์การทำงานอีกหลายที่ซึ่งเป็นงานนิตยสารเสียโดยมาก เช่น เป็น Freelance ให้ Elle D?cor ในคอลัมน์อาหารและคอลัมน์ชอปปิ้ง “ขายของข้างถนนที่ตลาดไฟฉายก็เคยนะ” เธอว่า “ขายเสร็จแล้วก็เอาเงินไปซื้อของเก่ากลับไปแต่งบ้านอีก”

ดูเหมือนการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตั้งแต่อายุน้อยของต้อบจะเป็นฉากจบที่Happy Ending สำหรับเธอ หากแต่ลึกๆแล้วคำว่า“เรียนไม่จบ”ได้กลายเป็น”พันธนาการ”ที่ตามหลอกหลอนเธออย่างไม่ปรานี “มันฝันร้ายบ่อยๆ เลยอยากกลับไปเรียน ปรากฏว่าได้ A หมด คงเพราะเราแก่แล้ว(ฮา)”

ต้อบเริ่มต้นการทำงานอีกครั้งในฐานะบัณฑิตสาว(ที่ก้าวออกมาก่อนวัยอันควร)ที่Greyhound รั้งตำแหน่งสไตลิสต์เป็นเวลา 2 ปี
“คุณภาณุเป็นคนหนึ่งที่อินสไปร์ให้เราในทุกๆด้าน พี่ว่าคนทำธุรกิจด้านนี้ควรเป็นคนมีสไตล์ มีครีเอทีฟ การตลาด มีอาร์ตครบ เค้าทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้” ภาณุแห่ง Greyhound เป็นผู้ให้แนวคิดแก่ต้อบว่า ต่อไปวิถีของคนทำงานรุ่นใหม่จะเป็นไปใน

ลักษณะ “Work & Play” เธอจึงยึดคตินี้ในการทำงานมาจนถึงปัจจุบัน “มันจะเต็มที่ ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่ว่างานจะหนัก กลับดึกแค่ไหนเราก็ยังสนุก ตอนหลังได้ทำมากกว่าสไตลิสต์ เป็นทั้งครีเอทีฟ ทำPR,Media Plan ซื้อAd ติดต่อ Supplier เอง จัดแฟชั่นโชว์ ได้อะไรจากตรงนี้เยอะ รวมถึงเรื่องระเบียบวินัย ซึ่งแต่ก่อนทำไม่ได้นะมา9 โมงเช้า ตอนเรียนยังมาตั้งบ่าย2”

หลังจากออกมาทำงานครีเอทีฟในบริษัทอีเวนต์ออร์แกไนเซอร์ ก็มีคนมาชวนต้อบเข้าไปคุยที่ SC Matchbox ในตำแหน่ง”ที่ปรึกษาการสร้างภาพ”ให้พรรคการเมืองชื่อดัง “เค้าเห็นสิ่งที่ครีเอทีฟคนอื่นไม่มีจากเราคือ การวางกลยุทธ์ และการมีconnection ทำได้ 2-3 เดือนค่ะ ก็มันส์ดีแต่ไม่ชอบเลยเพราะรู้สึกว่ามันไม่ควรจะมีในสังคม”

กระทั่งวันหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะต้อบเลี้ยงดูลูกชายอยู่ที่บ้าน “ริก้า ดีล่า”ได้แนะนำให้เธอไปสมัครงานที่ Concept Store แห่งใหม่นาม Playground “สภาพเราตอนนั้นดูไม่เก๋อย่างที่เค้าอยากได้ คลอดลูกมาได้ 2 ปีก็ยังดูเยินๆอยู่ ตอนสัมภาษณ์เค้าว่าเออพอร์ตงานเปรี้ยวเนอะ แต่ทำไม…..ก็เลยบอกเค้าไปว่าให้ลองมาออกลูกแล้วก็เลี้ยงลูกเอง ตูดก็จะห้อย พุงก็ยื่นอย่างงี้แหละ”

สิ่งที่ต้อบภาคภูมิใจที่สุดตลอดเวลาที่อยู่ Playground คือ การทำสื่อการตลาดทุกอย่างโดยไม่ผ่านเอเยนซี่ กลับกันBrand image ที่เธอสร้างยังสามารถดึงดูดคนเอเยนซี่ให้เข้ามาเป็นลูกค้าของร้านได้เสียอีก โดยเฉพาะผลงานที่ได้รับรางวัลแบดอวอร์ดอย่าง “Fighting Sale”

ต้อบเล่าว่า”ตอนนั้นเพิ่งเกิดปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราก็เชิญคนมีชื่อเสียง 40 คน(โดยไม่เสียตังค์) อาทิ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ,พอลล่า ,ลดา เองชวกุล ,เตย-วินรัตน์ ฯลฯ มาถ่ายภาพอารมณ์ถูกทำร้าย โดยจ้าง make up artist ของจาพนม มาแต่งปากเจ่อ ตาบวม ช้ำเลือดช้ำหนอง แล้วก็ให้เค้าเขียน motto เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ส่งเมล์ไปบ้านสมาชิก ทำเป็นโปสเตอร์ทั่วกรุงเทพ วันงานจัดเป็นFight Club มีสนามมวยตรงกลาง ประดับด้วยนิทรรศการภาพถ่ายของ 40 คน เปิดเพลงเราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว! ” ความครีเอทของเธอในคราวนั้น ได้รับการเผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ สะเก็ดข่าว รายการผู้หญิงผู้หญิง และนิตยสารอีกหลายเล่ม

เมื่อได้โจทย์ใหม่จากปี๊-ธงชัย บุษราพันธ์ ที่มีความคิดจะสร้าง Urban Street Shop ต้อบจึงเลือกวิธีทำการบ้าน”ให้อิน”ด้วยการไปใช้ชีวิตคลุกคลีกับชาวสตรีทเป็นเวลากว่า 3 เดือน “ไปเป็นเพื่อนกับเค้า ไปแฮง ไปปาร์ตี้ที่บาร์ฮิบฮอบ ไปเอสคูโด แอสตรา ไปดูเค้าเล่นสเก๊ตบอร์ดว่าคิวขอเป็นยังไง เข้าเว็บไซต์ ทำความรู้จักกับ Blog,Hi5,Myspace”

“เมื่อก่อนทำงานมีแต่คนกลัว ดุ และconcentrateมาก เป็นพวก perfectionism จริงจัง จนลืมนึกถึงคนรอบข้าง …ลูกคือจุดเปลี่ยน หลังจากนั้นเรายิ้มอย่างเดียว อารมณ์ดี”

ความประหลาดล้ำของต้อบยังคงมีให้เห็นจากการวิธีการคัดเลือกน้องๆทีมงาน “เริ่มจากเรียกเข้ามาคุย พูดจากวนตีนก่อนเลย ดูว่าเค้าจะรับแรงกดดันได้ไหม มีEgoแค่ไหน เทสต์ดีมั๊ย ชวนไปเที่ยวปาร์ตี้ คลับ เพราะงานแบบนี้ต้องการคนที่มีเทรนด์ แฟชั่น คอนเนคชั่น ไม่ใช่บอกว่าเรียบร้อยไม่ดีนะแต่งานอย่างนี้ไม่เหมาะคนที่อยู่เฉยๆเนือยๆ ต้องหาอะไรใหม่ๆเปิดรับอะไรใหม่ๆได้ โดยเฉพาะเราขายสินค้าเฉพาะกลุ่มมากๆ”

จริงดังว่า ทีมงานของต้อบแต่ละคนล้วนดูอารมณ์ดี มีสไตล์เฉพาะตัว(ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียก”เด็กแนว”)ผิดจากฝ่ายการตลาดในที่ทำงานทั่วไป “ลูกน้องพี่หัวเราะกันทั้งวัน Enjoyกับการทำงานมาก ส่วนพี่แก่แล้ว แต่ต้องอัพเดทตัวเองอยู่เสมอ” แต่หากเกิดภาวะถ่านอ่อน เด็กๆในปกครองเริ่มเล่นMSN คุยโทรศัพท์ทั้งวัน ต้อบก็จะมีวิธีการปลุกระดมมวลชน ด้วยการอ่านหนังสือกลอนว่าด้วยงาน(และเงิน)บันดาลสุข จนทุกคนเรียกเธอว่าแม่

การทำงานแบบ Work & Play ทำให้ต้อบสามารถดูแลงานทั้ง 3 ส่วนอย่าง Playground, Manga,และ Noble ได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ไม่มีวันไหนที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน ชอบที่สุดเลยงานการตลาด มันส์ดี ได้พบปะผู้คน เหมือนได้ใช้วิทยายุทธ์ตั้งแต่เราเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นconnection การตลาด event แฟชั่น สิ่งพิมพ์ เราเป็นคนกำหนด direction เองหมด ทุกคนยอมรับทีมเล็กๆอย่างเราที่ไม่ได้มาจากเอเยนซี่ ไม่ได้เก๋ไปกว่าใคร”

แม้แต่สื่อจากต่างประเทศก็ให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์กไทมส์หรือนิตยสารจากฮ่องกง “เพราะเราไม่ได้มีแค่สื่อสิ่งพิมพ์ เรามีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เนต อีเมล์ อย่างแคมเปญ Human as they are เราต้องการขยายฐานของลูกค้าManga ต้องการให้คนไทยรู้ว่า culture นี้ไม่ได้มีเฉพาะวัยรุ่น อย่างในอเมริกามันเป็นวัฒนธรรมของ’ผู้ชายที่ไม่ยอมแก่’ อย่างดร.สุเมธใส่เสื้อ Baby Milo แต่เขียนว่าศิลปินแห่งชาติ มันดูcontrastสูง”

การทำงานให้ผลตอบแทนคุมค่าเสมอหากเราทุ่มเท อย่างน้อยการทำงานก็ทำให้คนเราได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง “เมื่อก่อนโลกแคบอ่านแต่แมกกาซีนแฟชั่น มันได้แค่เทรนด์ แค่เปลือก รู้แค่สีนี้อินฯ นี่ 80’s เท่านั้นจบ ฟังแต่เพลงเก๋ๆ แต่ตอนนี้บริโภคทุกอย่าง งานทำให้เราได้เปิดโลกมากขึ้น ดูตั้งแต่หนังสือGossipในเซเว่นฯ หนังสือพระ ข่าวการเมือง ดู ASTV ฟังเพลงดาวมยุรี ฯลฯ เดี๋ยวนี้เวลาคิดงานจะเอาหลายอย่างมารวมกัน คือต้องบวกสิ่งที่มันกระแทกใจคนเข้าไปด้วย ไม่ใช่สักแต่ภาพสวย มันจึงจะออกมากลมกล่อม …เหมือน Egoมันออกไป เรากลายเป็นคนที่ฟังและพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น”

ด้านชีวิตส่วนตัว ต้อบเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าอยู่ด้วยกันกับสามีมาตั้งแต่เรียนอยู่ปี 3 ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน “ตอนนั้นเป็นคนเจ้าชู้มาก จนรู้สึกว่าใครๆก็ทิ้งเรา เลยกลับตัวกลายเป็นผู้หญิงในแบบแผน ตื่นก่อนนอนทีหลัง บ้านต้องperfect อาหารเช้าพร้อม ปัดกวาดเช็ดถู ปลูกต้นไม้ แต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น ยังมีปัญหานอกใจกัน แต่ที่สุดพี่ว่ามันดีตรงที่ทำให้เราได้รู้ว่าทำไมคนถึงนอกใจกัน …เพราะมันขาดสมดุล เรามัวแต่concentrate เค้า ลืมไปว่าควรดูแลตัวเอง ควรแต่งตัว ควรออกไปทำงาน ไม่เคยถามเลยว่าจริงๆแล้วผู้ชายกินอาหารเช้ามั๊ย ผู้หญิงควรรักตัวเองก่อน ทำชีวิตคู่ให้สมดุลเพราะชีวิตอย่างนั้นมันอยู่ในหนัง”

ต้อบกลับมาใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเป็น กับความเข้าใจในสมดุลแห่งชีวิตคู่ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปกว่า 10 ปีก็มาถึงจุดหักเหในชีวิตอีกวันหนึ่ง…กับบทบาทการเป็นแม่อย่างไม่ทันคาด

“ตอนนั้น ได้เงินเยอะมากสำหรับเรา ปีแรกได้ 13 ล้านจากการจัด event, จัดแฟชั่น รับปรึกษาStrategy ตอนแรกเครียดมาก เพราะกำลัง make money แต่คิดไปคิดมาก็อายุเยอะแล้ว ควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสดีกว่า อย่างน้อยก็ดีใจได้(ขอสามี)แต่งงานซักที” วันแต่งงานเธอประกาศกลางเวที “ฝากหลานด้วยนะคะ” การณ์จึงกลับกลายว่าเป็นแทนที่จะโดนติ ญาติผู้ใหญ่ต่างยกตะเกียบส่งเสียงเฮกันครึกครื้น “คือมันกลายเป็นเรื่องน่ารัก เราควรยอมรับ ดีกว่าปิดให้คนคอยนับเดือน ไม่สบายใจเปล่าๆ”

ต้อบจัดเป็น”คนบ้างาน”คนหนึ่ง แม้ขณะถึงวาระที่ธรรมชาติส่งสัญญาณการคลอด “พอรู้ว่าน้ำคร่ำไม่ได้มีสีดำอย่างที่คิด ก็เลยไปโรงพยาบาล ใช้เวลาแค่ 10 นาทีเองค่ะ คลอดธรรมชาติเพราะเด็กจะแข็งแรง ที่ออกง่ายเพราะทำงานตลอด ไม่เคยทำตัวสะเงาะสะแงะ ตอนแรกคลอดเสร็จกะจะกลับไปทำงานต่อ เพราะคิดว่าพยาบาลกับหมอต้องเจ๋งกว่าเราอยู่แล้ว แต่พอเดินผ่านห้องเลี้ยงเด็ก เห็นพี่เลี้ยงให้นมขวดไม่มองหน้าเด็กเลย ทำให้สะกิดใจว่า ไม่ได้แล้ว เราต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง”

จากวันนั้นต้อบเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตนเองโดยตลอด จนได้รับเชิญเป็น”วิทยากร”ผู้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงบุตรด้วนนมแม่จากสถาบันต่างๆ “พี่ว่ามันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติเลยนะ สังเกตมั๊ยว่าที่ญี่ปุ่น เด็กเค้าเก่ง ฉลาด พี่เลี้ยงลูกเองเลยรู้ว่ามันเจ๋งกว่า เด็กเราเป็นมะเร็งเยอะเพราะนมวัวเป็นพันธุกรรมใหญ่ บางทีเดินๆอยู่เห็นคนท้องก็เข้าไปบอกเลย …ให้นมแม่นะคะ แล้วก็อธิบายว่าดียังไง สามารถเป็นที่ปรึกษาได้เรื่องการเลี้ยงลูก เราต้องพยายามทำให้เป็นเรื่องเท่ห์ๆว่า ดูอย่างฉั้นสิ ใช้ชีวิตหนักหน่วงขนาดนี้ ถึงวันศุกร์มีปาร์ตี้ แต่เสาร์-อาทิตย์จะเลี้ยงลูกเอง พาลูกไปเที่ยว มันทำให้ชีวิตอ่อนโยนขึ้น มันมีความสุข อย่างไปเขาดิน มันทำให้เราเห็นชีวิตธรรมดาของพ่อแม่ลูกคนอื่น บางทีก็พาลูกไปนั่งรถไฟจากหัวลำโพงลงสถานีสามเสน แล้วก็เอารถไฟที่ลูกชอบไปถ่ายรูปกัน”

ระยะเวลา1 ปี 8 เดือนกับการเป็นแม่บ้านอย่างแท้จริง ทำให้ต้อบรู้สึกได้ว่าความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม ”เราบ่มเพาะเค้าได้ อยากให้ลูกพูดเพราะๆก็พูด ปลูกต้นไม้ก็ทำให้ลูกเห็น ..ชี้ให้เค้าดู นี่เริ่มมีใบเลี้ยงเดี่ยวแล้วนะคะลูก มันเบสิคมาก อย่างคนที่ส่งลูกไปให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด มันคนละ generation กัน พอโตเอากลับมากรุงเทพ จะสอนเค้าได้อย่างไรถ้าไม่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จะมาโทษเด็กทีหลังก็ไม่ได้”

เธอทิ้งท้ายด้วยข้อแนะนำถึง Workaholic Woman ว่า “ผู้หญิงไม่ควรบ้างานมาก ควรเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เพราะเพราะเงินที่เราได้มามันไม่คุ้มกับเวลาที่เราควรให้ลูกหรอก”

Profile

Name : ศศิเพ็ญ จันทร์ศรี (ต้อบ)
Age: 37 ปี
Education :
นิเทศศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต
มัธยม โรงเรียนศึกษานารี
Career Highlights :
Marketing Manager ร้าน Playground และ Manga เจ้าของธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าเด็กสไตล์โบมีเมียน
Family: สามี -จินต์ จันทร์ศรี บุตร-เจได จันทร์ศรี
Motto : Work & Play +No.1 think different คิดเป็นคนแรกและแตกต่าง แม้ไม่ดีที่สุดแต่ก็ทำให้คนหันมามองได้
อุปนิสัย: รักสวยรักงาม ชอบปาร์ตี้ เต้นรำ แต่ no drink and no drug
สถานที่แฮงเอาท์ : ศุกร์ไปคลับที่มีดีเจดีๆกับสามี อาทิร้านแอสตรา คลับเคาเจอร์ พยายามไม่ทิ้งชีวิตวัยรุ่น เสาร์-อาทิตย์ อยู่กับลูกและสามีไปเที่ยวสวนลุมพินี
แนวดนตรีที่ชอบ : Drum & Bass