ถอดรหัสพรีเมียร์ลีก

ประวัติ

เอฟเอ พรีเมียร์ลีก (FA Premier League) หรือนิยมเรียกว่า พรีเมียร์ลีก (Premier League) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือมีชื่อตามผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการว่า บาร์เคลส์ พรีเมียร์ชิพ ซึ่งบาร์เคลส์เป็นบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ

ในความจริงนั้น เอฟเอ พรีเมียร์ลีก แต่เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชั่นหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ซึ่งถือว่าเป็นลีกฟุตบอลที่ก่อตั้งยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชั่นหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ลีกฟุตบอลอังกฤษซึ่งมีทั้งหมด 4 ดิวิชั่น ได้เปลี่ยนแปลงชื่อระบบดิวิชั่นใหม่ โดยลีกสูงสุดชื่อพรีเมียร์ลีก ขณะที่ดิชั่นถัดไป คือ ดิวิชั่น 2 ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ลีกแชมเปี้ยนชิพ ส่วน ดิวิชั่น 3 ได้เปลี่ยนมาเป็นดิวิชั่น 1 แทน และดิวิชั่น 4 ได้เปลี่ยนมาเป็นดิวิชั่น 2 แทน

การดำเนินงานจัดตั้ง

17 กรกฎาคม 1991 มีการลงนามข้อตกลงภาคีสมาชิกก่อตั้ง (Founder Members Agreement) เพื่อวางหลักการสำคัญในการจัดตั้งพรีเมียร์ลีกได้แก่ ระบบลีกสูงสุดใหม่นี้จะดำเนินการทางธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระที่จะเจรจาผลประโยชน์กับผู้สนับสนุน รวมทั้งสิทธิในการขายสิทธิถ่ายทอดโทรทัศน์ของตนเอง แยกขาดจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลลีก จากนั้นในปี 1992 ทั้ง 20 สโมสรได้ยื่นขอถอนตัวจากฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการ

ต่อมา 27 พฤษภาคม 1992 เอฟเอพรีเมียร์ลีกจึงก่อตั้งโดยจดทะเบียนในรูปบริษัทจำกัด มีสโมสรฟุตบอลสมาชิกทั้ง 20 แห่งเป็นหุ้นส่วน ความเป็นหุ้นส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันทางสโมสร หากทีมใดยังคงอยู่ในพรีเมียร์ลีกก็จะถือเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ลีกต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลสโมสรที่ตกชั้นจะต้องมอบสิทธิความเป็นหุ้นส่วนให้กับสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากลีกแชมเปี้ยนชิพ โดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษถือสิทธิเป็นหุ้นส่วนหลัก มีอำนาจที่จะคัดค้านในประเด็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้บริหารระดับสูง หลักการเลื่อนชั้นหรือตกชั้นของสโมสรเท่านั้น แต่ไม่อาจล่วงไปถึงกิจการเฉพาะของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้แก่เงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่างๆ

ด้วยค่าตอบแทนจากการถ่ายทอดโทรทัศน์และประโยชน์ที่ได้รับจากผู้สนับสนุนการแข่งขัน ทำให้พรีเมียร์ลีกพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

ปัญหาที่เป็นแรงกดกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบลีกฟุตบอลอังกฤษครั้งใหญ่ คือ ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องของสนามกีฬาที่มีปัญหา เหตุการณ์อันธพาลลูกหนัง หรือที่เรียกว่าฮูลิแกน ได้ทำลายภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษอย่างหนัก

เหตุการณ์ครั้งสำคัญ ไฟไหม้อัฒจันทร์ วันที่ 11 พฤษภาคม 2528 ที่สนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแบรดฟอร์ดซิตี ในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์วันที่ 15 เมษายน 2532 ที่สนามฟุตบอลฮิลส์เบอโรของสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิตกว่า 96 คน นอกจากนี้โศกนาฏกรรมเฮย์เซลที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี

หลายเหตุการณ์ทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย

ภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์เบอโร รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่า รายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน

ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามไม่ให้มีอัฒจันทร์ยืน เพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชั่น 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชั่น 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานาน บางแห่งก็มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัฒจันทร์ เดอะค็อป ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลต้องปิดฉากลงไป

ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดในโลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชั่นหนึ่งหรือดิวิชั่นสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้

รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในกรณีสูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชั่นหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้

กิจการถ่ายทอดทางโทรทัศน์

ถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชั่นหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992-93 ถึง 1996-97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานี ITV เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น อลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตแนมฮ็อตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่นๆ ในดิวิชั่นหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992-93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้

การซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ

ตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิม แต่ละสโมสรฟุตบอลอังกฤษ มักจะพัฒนานักเตะเยาวชนขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพ โดยนอกจากจะส่งตัวแทนหรือ “แมวมอง” ไปค้นหานักเตะเยาวชนในเกาะอังกฤษ หรือประเทศต่างๆ ในเครือสหราชอาณาจักรของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ เรียกว่าแทบจะไม่ค่อยมีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ระดับนอกสหราชอาณาจักรเลย

เมื่อพรีเมียร์ลีกก่อกำเนิด ธรรมเนียมการกว้านซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจึงเริ่มมีมากขึ้น รูปโฉมใหม่ของฟุตบอลอาชีพอังกฤษเปิดฉากขึ้น ในฤดูกาล 1994-95 เมื่อทอตแนมฮ็อตสเปอร์ ซื้อตัวเจอร์เก้น คลินส์มันน์ (Juergen Klinsmann) สุดยอดนักเตะระดับโลกของเยอรมันมาสู่ทีม เหมือนเป็นใบเบิกทางให้นักเตะระดับโลกก้าวมาสู่ลีกนี้ รวมทั้งโค้ชระดับโลกที่หลั่งไหลเข้ามา เช่น อาแซน แวงเกอร์, รุด กุลลิท, เชอรา อุลิแยร์, ราฟาเอล แบนิเตซ, โฮเซ่ มูรินโญ่ ฯลฯ ตัวชี้วัดที่เห็นชัดคือ ปัจจุบันพรีเมียร์ลีกมีนักฟุตบอลต่างชาติมากถึง 250 คน

ระบบการแข่งขัน

สัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของ เอฟเอ พรีเมียร์ลีก ที่ใช้มาจนถึงฤดูกาล 2007 มีทีมร่วมแข่งขัน 20 ทีม แข่งขันในระบบพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 3 สโมสรที่ได้คะแนนน้อยที่สุด จะถูกลดชั้นไปเล่นในฟุตบอลลีกแชมเปี้ยนชิพ ขณะที่ 4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยสองทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอ ในขณะที่ทีมอันดับ 3 และ 4 จะต้องแข่งรอบคัดเลือกอีกทีหนึ่ง ส่วนอันดับ 5-7 จะได้เล่นยูฟ่าคัพ

ผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์หลักในฤดูกาลต่างๆ

1993-2000 : เบียร์คาร์ลิง (FA Carling Premiership)
2001-2004 : บัตรเครดิตบาร์เคลย์การ์ด (Barclaycard Premiership)
2004-2008 : ธนาคารบาร์เคลส์ (Barclays Premiership)

ทำเนียบแชมป์พรีเมียร์ลีก

นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกได้ก่อตั้งมาเมื่อปี1992 มีข้อสังเกตว่ามีเพียง 4 ทีมเท่านั้น ที่เคยชนะเลิศในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, แบล็กเบิร์นโรเวอร์ส และ เชลซี

2006-07 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2005-06 เชลซี
2004-05 เชลซี
2003-04 อาร์เซนอล
2002-03 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2001-02 อาร์เซนอล
2000-01 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1999-00 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1998-99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1997-98 อาร์เซนอล
1996-97 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1995-96 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1994-95 แบล็กเบิร์นโรเวอร์ส
1993-94 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1992-93 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด