บาทแข็งใช้ราคาสร้างมาร์เก็ตแชร์

“ค่าเงินแข็งได้ประโยชน์กับสินค้านำเข้า แต่ถ้าไม่มีคนซื้อก็ไม่ได้ประโยชน์ สิ่งที่ทำได้ คือการตัดสินใจลดราคากล้องบางแบรนด์ทีเดียว 4,000 บาท” คำพูดที่บอกเล่าถึงสถานการณ์ค่าเงินได้อย่างเห็นภาพของ จรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด

เจ๊บเซ่นฯ เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น Sole Distributor หรือผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงรายได้ในประเทศไทยของกล้องโอลิมปัส เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพลิกสถานการณ์ทำให้เจ๊บเซ่นฯ สามารถพลิกบทบาทจากการโดนสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งเล่นงานด้านยอดขาย มีบทบาททางการตลาดที่น่าตื่นเต้นทันที เพราะโอลิมปัสต้องการใช้จังหวะนี้ใช้กลยุทธ์ราคาทำตลาดเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา

“โอลิมปัสเคยมีส่วนแบ่งกล้อง SLR (กล้องซิงเกิลเลน) สูงถึง 14% แต่ตอนนี้เหลือเพียง 3% ปีนี้เราตั้งใจที่จะทำส่วนแบ่งให้ได้ 20% รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของกล้องคอมแพคจาก 6% เป็น 12% ด้วย”

โอลิมปัสเป็นแบรนด์กล้องที่เติบโตมาจากบริษัทที่พัฒนากล้องสำหรับใช้ในการผ่าตัดของวงการแพทย์ เป็นกล้องเอสแอลอาร์รายแรกของโลกที่เกิดขึ้นมานานกว่าร้อยปี นานจนกระทั่งทุกคนเกือบจะลืมไปแล้วเพราะร้างตลาดไปนาน เมื่อมีแผนจะกลับมาทวงตลาด โอลิมปัสจึงใช้ช่วงเวลาที่หายไปในการพัฒนากล้องรุ่นใหม่ เพื่อให้มีจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน

“ญี่ปุ่นไฟเขียวให้เราลดราคา ราคากล้องโอลิมปัสในไทยจะถูกที่สุดในโลกตอนนี้ และถ้าเทียบรุ่นต่อรุ่นกับคู่แข่งน่าจะถูกกว่าประมาณ 20% อย่างรุ่น D 410 ที่เปิดตัวล่าสุดราคา 23,900 ถ้าเทียบกับนิคอนรุ่น 40X ราคาจะอยู่ที่ 28,900 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่างจากคู่แข่งชัดเจนโดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กับแบรนด์ใหญ่”

โอลิมปัส ตั้งใจกำหนดราคาให้ถูกที่สุดเพื่อทำยอดให้ได้ตามเป้าหมาย แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าคือ บ.แม่ในญี่ปุ่นมองว่า ไทยเป็นสตราทิจิกคันทรี่ที่ต้องจู่โจมและยึดตลาดไว้ก่อน เพราะคนไทยชอบถ่ายภาพมากกว่าประเทศอื่น

ได้ราคา ได้สินค้า ขั้นต่อไปเจ๊บเซ่นฯ เริ่มปรับช่องทางการจำหน่าย จากเดิมที่กล้องเอสแอลอาร์นิยมจำหน่ายผ่านร้านกล้องก็เปลี่ยนมาจำหน่ายดีลเลอร์ที่มากขึ้น เช่น การจำหน่ายผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านกล้องที่มีสาขาจำนวนมาก ซึ่งโอลิมปัสมีแผนส่งสินค้ารุ่นใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ภายในปีนี้จะมีกล้องเอสแอลอาร์รุ่นใหม่อีก 3 รุ่น และกล้องคอมแพคกอีก 15 รุ่น

อย่างไรก็ดี แม้จะนำกลยุทธ์ราคามาใช้ ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด แต่โอลิมปัสจะลดราคาเต็มที่ตามค่าเฉลี่ยของกล้องในแต่ละประเภทเท่านั้น และไม่ปล่อยให้ราคาต่ำไปกว่านี้ โดยเฉพาะในส่วนของกล้องคอมแพคที่ราคาลดลงอย่างมากในปีนี้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้กลายเป็นแบรนด์ของสินค้าราคาถูก

“กล้องคอมแพคเฉลี่ยจะอยู่ที่แปดพันบาทต่ำสุดของโอลิมปัสก็เท่านั้น ราคาอยู่คาบเส้นก็จะทำให้เราได้รับทั้งซองและทั้งกล่อง ถ้าราคาต่ำกว่าเกณฑ์ แค่ครั้งเดียวคนจะจำว่าลงทุกเดือน ในฐานะตัวแทนจำหน่ายก่อนลดราคาทุกครั้งเราต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของแบรนด์”

จรัสพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ถือเป็นจังหวะดีสำหรับผู้บริโภคที่ราคาสินค้าถูกลง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเราแข็งมาก เป็นครั้งแรก แต่ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อไร เขายืนยันว่าจะเป็นครั้งแรกของตลาดไทยเหมือนกัน ที่เขาจะขึ้นราคาสินค้า แทนการลดราคา

ส่วนแบ่งตลาดกล้องเอสแอลอาร์ปี 2550
นิคอน และแคนนอน รวมกัน 96%
โอลิมปัส 3* %
อื่น ๆ 1%
*เป้าหมายเพิ่มเป็น 20% ภายในสิ้นปีนี้