เจาะความลับ Galaxy Note 7 บนคอนเซ็ปต์ “DO More”

เจาะเบื้องลึกแนวคิดสร้างสรร 3 นักพัฒนา ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ Galaxy Note 7 ใช้นวัตกรรมนำไอที ชูคอนเซ็ปต์ “DO More” ส่งให้ Note 7 เป็นได้มากกว่าสมาร์ทโฟนที่ทำได้มากกว่าพูด แชต และแชร์ บนพื้นฐานแนวคิด “The Originality” เป็นสมาร์ทโฟนเพียงหนึ่งเดียวตอบโจทย์การใช้งาน และบันเทิง เสมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของผู้ใช้ได้อย่างไร้รอยต่อ

ต้องเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคที่ผู้บริโภคได้ประโยนชน์จากการเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือสักเครื่องอย่างคุ้มค่า ภายใต้การแข่งขันระหว่างแบรนด์ชั้นนำในตลาด ต่างพากันสร้างจุดขาย อัดนวัตกรรมล้ำสมัยสุดๆ ลงในโปรดักต์อย่างยอมกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวเว่ย ที่นำเลนส์ “ไลก้า” มาใส่ไว้ใน P 9 เรียกร้องความน่าสนใจให้แบรนด์จีนอย่างหัวเว่ยได้อย่างมาก ขณะที่แบรนด์ผลไม้ก็คงไม่ทิ้งช่วงให้นาน คาดว่าจะเปิดตัวรุ่นใหม่ในเร็ววันนี้

ที่ต้องจับตามอง คือ ซัมซุงแบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะทุ่มทุกกลยุทธ์ เพื่อให้ซัมซุงโดดเด่นเหนือความคาดหมายได้ตลอดเวลา

ทันทีที่ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 7 ทำให้สาวกทั่วโลกต่างรอคอยที่จะได้เป็นเจ้าของแฟลกชิปตัวใหม่ที่มาพร้อมสรรพคุณ สเปกแรง สแกนม่านตา ปากกาฉลาดเขียนได้ใต้น้ำ

Galaxy Note 7 ยิ่งเรียกร้องความน่าสนใจให้เหล่าสาวกซัมซุง โดยเฉพาะคนไทยเพิ่มขึ้นอีก เมื่อทางซัมซุงต้องเลื่อนวันส่งมอบเครื่องให้กับลูกค้าที่จองไว้ อันเนื่องมาจากมียอดจองจำนวนมากจนผลิตไม่ทัน โดยมียอดจองสูงกว่า Galaxy S 7 ถึงประมาณ 30-40% โดยลูกค้าที่จองจะได้รับเครื่องวันที่ 2-4 กันยายน และวางขายทั่วไป 9 กันยายนที่จะถึงนี้

คยู คิม ผู้จัดการฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ ธุรกิจโทรคมนาคม, วุนทัก ซอง วิศวกรอาวุโส ฝ่ายพัฒนาโซลูชั่นสแกนม่านตา และ แฮจู ฮัน นักออกแบบด้านสี วัสดุ และการตกแต่ง ธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เป็น 3 นักออกแบบ และพัฒนา ผู้อยู่เบื้องความสำเร็จของ Galaxy Note 7 ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์การพัฒนาที่ใช้เวลาประมาณ 1 ปี พัฒนา Galaxy Note 7 ขึ้นมาโดยเลือก “Galaxy Studio” บนถนน Orchard ประเทศสิงคโปร์ เป็นที่จัดงานโดยตกแต่ง Galaxy Studio ให้มีลักษณะเหมือนบ้านแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมอันล้ำหน้าของ Samsung Galaxy

559000008815003

แรงบันดาลใจของการพัฒนา

Galaxy Note 7 ถูกพัฒนาขึ้นจากแรงบันดาลใจมาจาก “ผู้คน” ทั่วโลก (People-inspired Innovation) ทุกนวัตกรรม และเทคโนโลยีใน Galaxy Note 7 ไม่ได้เกิดขึ้นจากความคิดแค่ในห้องทดลอง แต่เกิดจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนของคนทั่วโลกจริงๆ โดยการออกเดินสำรวจเพื่อดูพฤติกรรมที่ใช้สมาร์ทโฟนจริงในชีวิตประจำวันที่เดินบนถนนทั่วไป หรือแม้แต่ในที่ทำงาน

“Note 7 จึงถูกพัฒนาขึ้นบนคอนเซ็ปต์ DO More คือ เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถทำอะไรได้มากกว่าพูด แชต และแชร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น รวมถึงทำอะไรดีกว่าที่คิดไว้ สิ่งที่พวกเค้าต้องการทันทีที่คนเห็น Note 7 คือ อยากให้คนคิดว่ากำลังได้รับสิ่งที่ดีที่สุด สมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดแล้ว”

กว่าจะได้แบบที่ต้องการ

ซัมซุง Galaxy Note 7 ได้รับการออกแบบจากพื้นฐานแนวคิด “The Originality” คือ เป็นสมาร์ทโฟนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานไปพร้อมๆ กับการรับชมความบันเทิงในเครื่องเดียวกัน เป็นเสมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของผู้ใช้ได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งโจทย์นี้เองที่ทำให้ทีมออกแบบได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป และออกแบบตัวเครื่องGalaxy Note 7 ให้แคบลงในขณะที่ขนาดหน้าจอเท่าเดิม เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ถนัดมือ แม้กระทั่งการถือด้วยมือเดียว

สำหรับสีของ Galaxy Note 7 ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Calm and Balance” สีที่ออกมา จึงมีความกลมกล่อมระหว่างความหรูหรา และความสุขุมนุ่มลึก ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป ได้แก่ สีดำออนิกซ์ (Black Onyx) สีทองแพลทตินัม (Gold Platinum) และสีเงินไทเทเนียม (Silver Titanium ) ทั้ง 3 สีนี้ จะสะท้อนถึงความพรีเมียม และเหมาะกับคนรุ่นใหม่ เข้าได้กับทุกสไตล์ ส่วนสีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ สี Blue Coral ที่เป็นหนึ่งในสีตามเทรนด์ในปีนี้ โดยในช่วงแรกจะทำตลาดในประเทศไทย 3 สีก่อน โดยคาดว่าสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สีดำ และสีทอง

นอกจากนี้ Galaxy Note 7 ยังเป็นตระกูล Galaxy Note ตัวแรกที่มีขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้าน โดยเกิดจากเทคโนโลยี 3D Thermoforming ที่ล้ำหน้า ที่ทำให้ขอบจอทั้ง 2 ด้านโค้ง โดยกินพื้นที่ใช้งานด้านการเขียนบนหน้าจอด้วย S Pen อย่างน้อยที่สุด

“ด้วยขอบจอโค้งนี้เองที่ทำให้ Galaxy Note 7 เป็นสมาร์ทโฟนที่สมมาตร ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งขอบตัวเครื่องหน้า และด้านหลัง รวมไปถึงการทำให้วัสดุทั้งกระจก และเมทัลเชื่อมต่อกันได้อย่างเรียบเนียน”

559000008815007

ส่วนไหนที่เป็นความภูมิใจของนักพัฒนา

คยู คิม มองว่า ปากกา S Pen ที่สามารถผสมสีได้ เปลี่ยนหัวปากกาได้ เป็นความอัศจรรย์อย่างยิ่งที่เกิดขึ้นบน Note 7 ส่วน แฮจู ฮัน ภูมิใจกับความกลมกล่อม ละมุนของสีที่เข้ากันได้อย่างดี ขณะที่ วุนทัก ซอง ชอบความเป็นอัจฉริยะของ S Pen ที่แปลภาษาได้เพียงแค่นำ S Pen ไปชี้ ก็จะสามารถแปลได้ แม้กระทั่งคำศัพท์ที่อยู่ในภาพถ่าย

S Pen เป็นเหมือนกับตราสัญลักษณ์ของตระกูลซัมซุง Galaxy Note ที่ทำให้สมาร์ทโฟนตระกูลนี้เป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างสัมผัสแบบยุคอนาล็อก เข้ากับดีไซน์ที่เป็นดิจิตอล แต่ S Pen ใน Galaxy Note 7 มาพร้อมกับความไม่ธรรมดาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น หัวปากกาที่เล็กกว่าเดิม เหลือเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.7 มิลลิเมตร ทำให้สามารถลงรายละเอียดบนงานสร้างสรรค์ได้ละเอียดมากกว่าเดิม หัวปากกาสามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องเขียนรูปแบบอื่นได้มากถึง 6 แบบ รวมถึงสามารถผสมสี และสร้างชั้นสีได้อีกด้วย ตัดปัญหาการใส่ปากกาเข้าช่องใส่กลับด้าน ทำให้ปากกาติดในช่องจนล็อกแตก ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้วใน Note 7

ที่สำคัญ S Pen กันน้ำด้วยมาตรฐาน IP68 ทำให้เขียนได้แม้กระทั่งหน้าจอเปียก โดยสามารถอยู่ในสระน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลา 30 นาที ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเครื่องที่กันน้ำกันฝุ่นได้พียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปากกาก็กันน้ำกันฝุ่นได้ ที่สำคัญสามารถใช้ปากกาขณะอยู่ในน้ำได้ด้วย

559000008815004

สแกนม่านตาปกป้องข้อมูลขั้นสูงสุด

ซัมซุง รู้ดีว่า ทุกวันนี้ผู้คนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อ และส่งต่อข้อมูลต่างๆ ถึงกันได้ในโลกดิจิตอล แต่ข้อมูลส่วนตัวถือเป็นสิ่งยกเว้น จึงสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมที่สุดระบบหนึ่งบนพื้นฐานของเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ (Biometric Technology) คือ การสแกนม่านตา เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลบนสมาร์ทโฟน รวมถึงรักษาข้อมูลทางการเงินในการทำธุรกรรมบนสมาร์ทโฟนที่กำลังจะได้รับการปรับใช้มากขึ้นทั่วโลก อย่างบริการ Samsung Pay

“ระบบสแกนม่านตาใน Galaxy Note 7 เป็นการทำงานระหว่าง Infrared LED และกล้องจับม่านตาเพื่อจดจำลักษณะม่านตาที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้ในการปลดล็อกสมาร์ทโฟน หรือเข้าไปยังโฟลเดอร์ลับ ซึ่งการใช้ Infrared LED นี่เองที่ทำให้สามารถสแกนม่านตาผู้ใช้ผ่านแว่นสายตา แว่นกันแดด รวมถึงในสภาพแวดล้อมได้อย่างไม่มีปัญหา โดยได้รับการรับรองอย่างสูงสุดจาก International Electrotechnical Comission ว่าไม่ทำอันตรายต่อดวงตาขณะสแกน ซึ่งระบบจะปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้ดวงตามากเกินไป”

ในมุมมองของเหล่านักพัฒนาที่มุ่งเน้นสร้างสรรนวัตกรรมใหม่ๆ ลงสู่ตลาด มองว่าในอนาคตโลกจะเกิดการเชื่อมต่อกันอย่างแนบเนียน โดยมีโทรศัพท์มือถือเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกอย่างเข้ากับนาฬิกา แว่น หรือแม้แต่อุปกรณ์ในบ้านทั้งหมด บนเครือข่าย IoT เพียงแค่เดินผ่านทุกอย่างก็เชื่อมเข้าหากันแล้ว

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เห็นถึงความพยายามของซัมซุง ที่จะปรับปรุงจุดที่เคยยืนอยู่เดิมให้มีการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น เห็นได้ชัดจากความสมบูรณ์แบบมีอยู่ใน Galaxy Note 7 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000085310