ทิศทางต่อไปของ “เคเอฟซี” หลังจากมีพาร์ตเนอร์รายใหม่

เป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด” ที่เป็นพาร์ตเนอร์รายใหม่ของเคเอฟซี ประเทศไทย เพื่อตอบกลยุทธ์ในการเพิ่มสปีดในการขยายสาขา 

ซึ่งกระบวนการคัดเลือกพันธมิตรในครั้งนี้ “บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด” ในฐานะผู้บริหารแบรนด์เคเอฟซีได้ใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือนในการคัดเลือก โดยมีผู้เข้าคัดเลือกกว่า 100 ราย ซึ่งต้องผ่านเงื่อนไขที่ว่า มีกำลังลงทุน มีเป้าหมายในการลงทุน เข้าในมาตรฐานของเคเอฟซี

ถือว่าเป็นพาร์ตเนอร์รายที่ 2 ต่อจากพาร์ตเนอร์เก่าแก่อย่าง CRG ที่เป็นพันธมิตรเริ่มต้นมา 33 ปีแล้ว กลยุทธ์การใช้พาร์ตเนอร์ทำนองนี้ก็มีใช้ในต่างประเทศมาหลายปีแล้วเช่นกัน เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย และรัสเซีย

พาร์ตเนอร์ใหม่จะเข้ามาร่วมบริหาร และปรับโฉมร้านเคเอฟซี 130 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาคใต้ ซึ่งเป็นสาขาเดิมของยัมฯ แบ่งเป็นภาคใต้ 50% และกรุงเทพฯ และปริมณฑล 50% ยกเว้นสาขาในเซ็นทรัลและโรบินสันที่ทางCRGดูแล พร้อมเตรียมเปิดเพิ่มอีก 100 สาขาในประเทศไทย ภายในปี 2563

เหตุผลที่ต้องหาพันธมิตรเพิ่มเติมนั้นก็เพื่อต้องการลดบทบาทการลงทุนของตนเอง ให้พันธมิตรเป็นผู้ลงทุน ส่วนทางยัมจะถอยมาดูภาพรวมของแบรนด์ ดูเรื่องการตลาด และนวัตกรรมใหม่ๆ

เมื่อเคเอฟซีได้สานต่อเรื่องกลยุทธ์ทางด้านพาร์ตเนอร์แล้ว การขยายสาขาต่อจากนี้จะเป็นการควบคู่กับการเสริมนวัตกรรมใหม่เข้าไปก็คือในการปรับโฉมร้านใหม่ มีฟรีไวไฟ และน้ำดื่มรีฟิว ที่ตอนนี้ได้ทดลองบางสาขา คาดว่าจะมีการปรับใช้ครบทุกสาขาภายในปีหน้า เพราในยุคนี้แค่การมีเมนูใหม่ๆ ออกมาตลอด ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ที่เพียงพอแล้ว แต่ต้องเป็นเรื่องประสบการณ์ในร้านด้วย

ในปีนี้เคเอฟซีจะมีการขยายสาขาเพิ่มอีก 35 สาขา ใช้งบลงทุนเฉลี่ย 15-30 ล้านบาท/สาขา ถ้าเป็นโมเดลร้านในห้างจะใช้งบลงทุน 15 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นโมเดลสแตนอโลนจะใช้งบลงทุน 30 ล้านบาท ทำให้ในสิ้นปีนี้เคเอฟซีจะมีสาขารวม 585 สาขา แบ่งเป็นการบริหารโดยCRG217 สาขา ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) 238 สาขา และเรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ 130 สาขา

info1_kfc

info2_kfcnew