“เวียนนา” แชมป์เมืองคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก 8 ปีซ้อน “สิงคโปร์” ที่ 1 ในเอเชีย กรุงเทพฯ อันดับที่ 131 ของโลก

กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย

รอยเตอร์/MGROnline – กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย รั้งแชมป์เมืองที่ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก 8 ปีซ้อน ตามการจัดอันดับโดยบริษัทที่ปรึกษา เมอร์เซอร์ กรุ๊ป ขณะที่อันดับบ๊วยตกเป็นของกรุงแบกแดดในอิรัก ส่วนสิงคโปร์ครองที่ 1 ในเอเชีย

ผลสำรวจคุณภาพชีวิตประชากรใน 231 เมืองใหญ่ทั่วโลก ถือเป็นข้อมูลที่บริษัทและองค์กรต่างๆ จะนำไปใช้พิจารณาจ่ายค่าชดเชย และค่าตอบแทนความยากลำบาก (hardship allowances) ให้แก่พนักงานต่างชาติ โดย เมอร์เซอร์ ได้ใช้เกณฑ์หลายอย่างในการวิเคราะห์ เช่น เสถียรภาพทางการเมือง ระบบสาธารณสุข การศึกษา อาชญากรรม นันทนาการ และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น

เมืองศูนย์กลางธุรกิจของโลกอย่างลอนดอน ปารีส โตเกียว และ นิวยอร์ก ล้วนไม่ติด 30 อันดับแรกในลิสต์ของเมอร์เซอร์ แต่กลับกลายเป็นเมืองในเยอรมนี สแกนดิเนเวีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เสียส่วนใหญ่

สิงคโปร์ถูกยกให้เป็นเมืองที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในเอเชีย โดยติดอันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่ ซานฟรานซิสโก อยู่ในลำดับที่ 29 และเป็นที่ 1 ในสหรัฐฯ

เดอร์บัน เมืองริมชายทะเลของแอฟริกาใต้ รั้งแชมป์อันดับ 1 ในภูมิภาคแอฟริกา และอยู่ในลำดับที่ 87 ของโลก

ประชากร 1.8 ล้านคนในเวียนนา ได้มีโอกาสได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมร้านกาแฟ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และโอเปราเฮาส์ ขณะที่ค่าเช่าอาคารและค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางภายในเมือง ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ก็ถือว่าถูกกว่าเมืองหลวงอื่นๆ ในโลกตะวันตก

เมืองที่ติด 5 อันดับแรกของโลกรองจากเวียนนา ได้แก่ ซูริก, อ็อคแลนด์, มิวนิก และแวนคูเวอร์

การสู้รบระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนนับตั้งแต่สหรัฐฯ ส่งทหารบุกอิรักเมื่อปี 2003 ส่งผลให้กรุงแบกแดดกลายเป็นเมืองที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตย่ำแย่ที่สุดในโลก ขณะที่กรุงดามัสกัสของซีเรีย, กรุงบังกีของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง, กรุงซานาของเยเมน, กรุงปอร์โตแปรงซ์ของเฮติ, กรุงคาร์ทูมของซูดาน และกรุงอึนจาเมนาของชาด ถูกจัดรวมอยู่ในกลุ่มท้ายตาราง

สำหรับกรุงเทพมหานครของไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 131 ของโลก และเป็นที่ 5 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์, กัวลาลัมเปอร์, ยะโฮร์บารู และ บันดาร์เสรีเบกาวัน

ที่มา : http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000026044