ถอดหน้ากาก เปิดใจ ผู้บริหารเวิร์คพอยท์ กับบทเรียนความปัง-ฝังดราม่า The Mask Singer

รายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของเวิร์คพอยท์ ที่รายการได้รับความนิยมสุดขีด แต่กลับต้องเจอกระแสตีกลับชั่วข้ามคืน ด้วยดราม่าถล่มยับในรอบแชมป์ชนแชมป์ ระหว่างหน้ากากทุเรียน และหน้ากากอีกาดำ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา

ส่วนเปิดหน้ากากทุเรียนในวันนี้ 30 มีนาคม เวิร์คพอยท์ จะรับมืออย่างไร มาฟังจากปาก ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)

สัปดาห์นี้คนดูจะได้ดูทุกอย่างที่อยากดู จะได้เห็นการเปิดหน้ากากทุเรียน แต่ก่อนอื่นต้องขอโทษคนดู ที่จริงก็ไม่อยากพูดมาก เพราะจะถูกมองว่าเป็นการแก้ตัว แต่ต่อไปจะระมัดระวังให้มากขึ้น เนื่องจากเวลานี้เป็นรายการของคนดูไปแล้ว ไม่ใช่รายการของเราอีกแล้ว ดังนั้นคนดูอยากได้อะไร จะให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการออกอากาศในวันนี้ หรือในซีซัน 2

• ทำไมต้องยืดออกไปเปิดหน้ากากทุเรียนอีก 1 สัปดาห์

จริงๆ แล้วเราแจ้งตลอดว่าจะเปิดหน้ากากผู้ชนะวันที่ 30 มีนาคม เพียงแต่คนดูส่วนใหญ่อาจไม่รับรู้ พอยิ่งเกิดเหตุขลุกขลักในรายการก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนออกอากาศวันสุดท้ายทุกคนที่มีส่วนร่วมในรายการนี้แต่ถ้าไม่ติดภารกิจอื่นๆ จะมาร่วมแน่นอน เท่าที่เห็นคร่าวๆ คนที่คนดูชอบกันมากๆ จะมากันครบ แต่ไม่ได้ออกอากาศสด เพราะศิลปินเยอะมาก คือถ่ายจะเป็นเทป มีการตัดต่อและออกอากาศวันพฤหัสนี้วันเดียว

• ดราม่าที่คนดูออกมาถล่มในสัปดาห์ที่แล้วกระทบกับสปอนเซอร์หรือไม่

ไม่ได้มีปัญหาอะไร เนื่องจากเขาทราบแผนงานอยู่แล้วว่าเราจะทำอะไรบ้างในแต่ละสัปดาห์ อย่างสัปดาห์ที่แล้วเขาก็รู้ เจ้าของสินค้าเขามองว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดปัญหา แต่เป็นอุบัติเหตุ เขาเชื่อมั่นว่า เราจะตอบแทนคนดูให้ดีขึ้นไปอีก

• มีคนตั้งข้อสังเกตว่าที่ยืดเวลาก็เพราะต้องการโกยรายได้โฆษณาและยังถือโอกาสขึ้นค่าโฆษณา

ทั้ง The Mask Singer และ I Can See Your Voice ซีซัน 2 มีการขึ้นค่าโฆษณา จากเฉลี่ย 380,000 บาท/นาที (rate card) เป็น 420,000 /นาที เพราะเรตติ้งของ 2 รายการนี้เพิ่มขึ้นมาก เราได้ขายโฆษณาล่วงหน้าไปหมดแล้วทุกช่วงเวลา และทุกสื่อ ทั้งในทีวีและออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม จึงไม่ต้องยืดเวลาเพื่อหวังผลเรื่องโฆษณา แต่เกิดจากปัญหาในช่วงถ่ายทอดทำให้เวลาต้องไหลไป ผมเองก็ไม่อยากอธิบายมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นกระแสไปอีก

ส่วนการขึ้นค่าโฆษณา เพราะเราพยายามทำให้อัตราค่าโฆษณาขยับขึ้นไปตามเรตติ้งที่เพิ่มขึ้น และอยากให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันทั้งทีวีเดิมและทีวีดิจิทัล ไม่ใช่ว่าอัตราค่าโฆษณาทีวีเดิมสูงกว่าทีวีดิจิทัลตลอด ทั้งที่เรตติ้งรายการเพิ่มขึ้นไปแล้ว เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้ทีวีดิจิทัลอื่นๆ ด้วย ถ้าเขาทำรายการดี มีเรตติ้ง รายได้ก็จะเพิ่มตาม เช่นเดียวกับรายได้ค่าโฆษณาบนออนไลน์ด้วย พอมีคนดูมากขึ้นโฆษณาก็ต้องเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่คนพูดว่า ออนไลน์มาแล้ว สิ่งพิมพ์ต้องตายไป ทีวีกำลังจะเดี้ยง มีแต่เรื่องแบบนี้ ใครที่ทำคอนเทนต์ ทั้งสิ่งพิมพ์เดิม คนทำรายการพวก
ครีเอเตอร์ พอทำคอนเทนต์ดีๆ มีรายได้จากโฆษณาออนไลน์ อุตสาหกรรมเดินหน้าไปได้

• รายได้อื่นๆ นอกจากโฆษณาทีวี อย่าง คอนเสิร์ต หรือ ของที่ระลึก

คอนเสิร์ตจะมีวันที่ 2 เมษายน 3 รอบ เวลานี้บัตรขายหมดเกลี้ยง เวลานี้คนยังหาบัตรกันอยู่เลย เราพยายามทุกทางแล้วก็ได้แค่นี้จริงๆ เพราะคิวงานของหน้ากากทั้งหลาย ยิ่งเป็นนักร้องเขาจะมีคิว การรวมตัวกันไม่ง่ายเลย

ส่วนซีซันที่ 2 คอนเสิร์ตกำหนดจัดในเดือนสิงหาคม แต่ยังกำหนดวันไม่ได้ เพราะครั้งนี้จัดใหญ่ขึ้น จะนำศิลปินจากทั้งซีซัน 1 และซีซัน 2 มาขึ้นคอนเสิร์ต กำลังหาสถานที่ที่เหมาะสมอยู่

สำหรับสินค้าที่ระลึก อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ The Mask Singer ทั้งเสื้อลายหน้ากาก สติกเกอร์ขายดีหมด เราให้น้องๆ มาออกแบบลวดลาย แล้วให้ผลตอบแทน ก็พยายามจะผลิตออกมาเพิ่มเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ทันความต้องการ พอผลิตได้ช้าคนก็ไปทำปลอมขายกัน เราต้องขอร้องอย่าทำเลย เพราะกระทบกับคนที่เขาออกแบบ ไปขโมยไอเดียของน้องเขาไป ส่วนหน้ากากที่ขายดี ทุเรียน อีกาดำ จิงโจ้ โพนี่ ซึ่งจริงๆ ก็นิยมทุกหน้ากาก แต่ลดหลั่นกันไปบ้าง

ส่วนคนดูในห้องส่งเองก็เยอะมาก วันที่ 30 มีนาคมนี้ ก็เต็มหมดแล้ว ทั้งๆ ที่คนมาดูจะต้องเซ็นสัญญา เหมือนกับทีมงานของเราเลยว่า ห้ามเปิดเผยความลับของรายการ ห้ามถ่ายรูป ถ่ายคลิป ห้ามใช้อินเทอร์เน็ต ถ้าทำผิดกฎ นอกจากโดนปรับแล้ว ยังเป็นคดีความด้วย คนก็ยังมาดูเต็มตลอด ก็ต้องฝากขอโทษคนดูอีกครั้ง หวังว่าวันที่ 30 มีนาคมนี้ จะได้เห็นสิ่งที่ทุกคนมีความสุขกัน

• คิดว่าอะไรคือปัจจัยความสำเร็จ และออนไลน์มีส่วนสำคัญแค่ไหน

ผมเองก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จขนาดนี้ มาจากหลายองค์ประกอบ ตัวรายการดีด้วย คนปรุง ฝ่ายโปรดักชันเก่ง และต้องยอมรับว่าช่องทางออนไลน์มาเสริมรายได้ เกิดการพูดคุยกัน ทำให้รายการดังไปอีก ถ้าเป็นสมัยก่อนรายการไหนดัง จะได้ยินคนพูดถึง แต่ไม่รู้ว่าจะไปดูจากไหน เวลานี้บางคนดูย้อนหลังผ่านออนไลน์แล้วก็กลับมาดูทีวีเยอะมาก เช่นเดียวกับคนที่เลิกดูทีวี และไม่ค่อยดูทีวี ก็หันมาดูร่วมกับครอบครัว

ส่วนรายได้ออนไลน์ ต้องถือว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งแพลตฟอร์มและเราในฐานะผู้ผลิตด้วย ต้องหาทางออกร่วมกัน ว่าทำอย่างไรให้ผู้ผลิต แพลตฟอร์ม และคนดูได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด

อย่างช่วงพักโฆษณาทีวี โดยปกติแล้วคนดูจะลดลง แต่ของเราคนดูผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น เพราะเราถ่ายทอดทั้งใน
เฟซบุ๊ก ไลฟ์ และยูทิวบ์ พอช่วงพักโฆษณาก็เลยครีเอตรายการนินทาหน้ากาก ให้พิธีกรมาพูดคุยกัน ทายปัญหากัน ทำให้คนดูยังอยู่กับเรา เป็นการสร้างโอกาสในการทำคอนเทนต์ และมีโอกาสหารายได้ควบคู่กันไป

คนดูผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก อย่างสัปดาห์ที่แล้ว (23 มีนาคม) คนดูผ่านตัวเว็บไซต์ และแอปฯ ประเมินไม่ได้ เนื่องจากว่าเซิร์ฟเวอร์ที่เรามี ไม่เพียงพอที่จะรองรับคนดูมากๆ มีคนดูผ่านเฟซบุ๊กพร้อมกันสูงสุด 8.3 แสน และยอดวิวเกือบ 7 – 8 ล้านบาท ยูทิวบ์ คนดูพร้อมกันสูงสุด 8.4 แสน ยอดวิวมีประมาณ 3 – 4 ล้านคน แต่เรายังไม่ได้มาสรุปว่ามีคนดูทั้งหมดเท่าไหร่

ส่วนรายได้ออนไลน์เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ ยังไม่ได้ประเมินตัวเลข แต่ที่แน่ๆ เราขายโฆษณาไปจนเต็มไปหมดแล้วตั้งแต่ซีซัน 1 จนถึงซีซัน 2

• ซีซัน 2 เริ่มทันที

ออกอากาศต่อทันทีในวันที่ 6 เมษายน ที่จะถึงนี้ จะมีเซอร์ไพรส์มากขึ้น เพราะมีคนดังระดับซูเปอร์สตาร์มาร่วมมากขึ้น ทั้งเซเลบ นักแสดง นักร้องดังจากทุกค่าย ถ้าใครไม่ติดคิว เขายินดีมากันหมด จากเดิมซีซันแรก คนยังงงๆ มาร้องเพลงตั้งนาน คนดูไม่เห็นหน้ามาแล้วจะได้อะไร แต่พอรายการสนุก มีคนรู้จัก คนก็อยากมีส่วนร่วม ตอนนี้ก็มีทั้งที่กระซิบเรามา และที่เราไปทาบทาม เราเปิดหมด ไม่จำกัดค่าย

• ผลิตรายการป้อนออนไลน์ไตรมาส 2

ไตรมาสที่ 2 จะเริ่มมีรายการป้อนออนไลน์ เพราะคอมมูนิตี้ในออนไลน์ใหญ่พอสมควร รายการแบบแรก จะแพร่ภาพทั้งในทีวีและออนไลน์คู่กัน แบบที่สอง ผลิตเพื่อออนไลน์อย่างเดียว ไม่มีออกอากาศในทีวีเลย โปรดักชันจะเหมือนทำรายการทีวี ส่วนเนื้อหาต้องทดลองทำ ดูฟีดแบ็กคนดูแล้วปรับกันไป เหมือนนับ 1 ใหม่ โดยจะออกทั้งเฟซบุ๊กและยูทิวบ์ ส่วนไลน์กำลังคุยกันอยู่ แต่ยังไม่ลงตัว

รายได้จากออนไลน์ ปีที่แล้วทำได้ 60 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยูทิวบ์ ปีนี้เพิ่มขึ้นเยอะ อย่างช่วง 3 เดือนแรกหลายสิบล้านแล้ว ขณะรายได้ทีวียังไปได้ดีอยู่ เพราะคนดูยังดูทีวี ยังไงทีวีก็ยังไม่ตายแน่ๆ