อูเบอร์ ปิดตัวในเดนมาร์กแล้ว หลังเจอกฎหมายใหม่ให้คิดค่าโดยสารตามมิเตอร์

อูเบอร์ (Uber) เตรียมปิดให้บริการในตลาดเดนมาร์กแล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนนี้เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่า ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ของเดนมาร์กที่ระบุให้แท็กซี่ต้องมีเซนเซอร์ติดตั้งในบริเวณที่นั่งด้วย และต้องคิดค่าโดยสารตามมิเตอร์

เรียกได้ว่า เป็นช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกของอูเบอร์อย่างแท้จริง หลังรถไร้คนขับของอูเบอร์ เกิดอุบัติเหตุในอริโซนา จนบริษัทต้องยุติการทดสอบรถไร้คนขับจากเมืองดังกล่าวเป็นการชั่วคราว ล่าสุด ก็มีรายงานว่า บริษัทจะปิดให้บริการในเดนมาร์กแล้วในเดือนเมษายนนี้

โดย Kristian Agerbo ตัวแทนจากอูเบอร์ ระบุว่า อูเบอร์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ของเดนมาร์ก ที่ระบุให้มีการติดตั้งเซนเซอร์ที่เก้าอี้โดยสาร และต้องคิดค่าโดยสารตามมิเตอร์

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า การปรับกฎหมายจนนำไปสู่การปิดให้บริการของอูเบอร์ในครั้งนี้เป็นผลมาจากการต่อต้านของผู้ให้บริการแท็กซี่ท้องถิ่น รวมถึงนักการเมือง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ปัญหาในการต่อต้านการให้บริการของอูเบอร์นั้น เกิดขึ้นตามเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงมาดริด แฟรงก์เฟิร์ต กรุงปารีส และกรุงลอนดอน โดยในตอนนี้อูเบอร์ ยังอยู่ระหว่างการรอฟังคำตัดสินของศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปด้วยว่า จะสามารถให้บริการในภูมิภาคดังกล่าวในฐานะอะไร ระหว่างผู้ให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง หรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิตอล

Travis Kalanick ซีอีโออูเบอร์ (ภาพจากรอยเตอร์)
Travis Kalanick ซีอีโออูเบอร์ (ภาพจากรอยเตอร์)

เป็นไปได้ว่า การยุติการให้บริการของอูเบอร์ครั้งนี้จะถูกประโคมในฐานะความสำเร็จขององค์กรคนขับแท็กซี่ และนักการเมืองของเดนมาร์กครั้งใหญ่ด้วย หลังมีการจับมือกันต่อต้านการให้บริการของอูเบอร์มายาวนานว่า ไม่เป็นธรรม และไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่องค์กรแท็กซี่ระบุไว้ ซึ่งตัวเลขผู้ใช้งานอูเบอร์ในปัจจุบันของเดนมาร์ก อยู่ที่ 300,000 ราย และมีคนขับอยู่ราวๆ 2,000 คน ในระยะเวลาการให้บริการไม่ถึง 3 ปี

โดยอูเบอร์ ออกมาแถลงว่า สำหรับการจะเปิดให้บริการในเดนมาร์กใหม่อีกครั้งนั้น สามารถเกิดขึ้นได้หากกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับแผนกซอฟต์แวร์ของบริษัทที่ตั้งอยู่ในเมือง Aarhus ทางตอนเหนือของเดนมาร์ก และมีพนักงานราว 40 คนทำงานอยู่นั้น อูเบอร์ ระบุว่า จะคงไว้ และอาจมีการโยกย้ายบุคลากรตามสมควร

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000031803