เปิดพฤติกรรมออนไลน์ชาวมิลเลนเนียล 3 ชาติ 3 สไตล์ ไทย ฮิตดูวิดีโอ สิงคโปร์ เน้นช้อปปิ้ง ฟิลิปปินส์ ติดโซเชียลมีเดีย

ผลสำรวจจาก Limelight Networks เผยพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของชาวมิลเลนเนียลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบมิลเลนเนียลจากฟิลิปปินส์ใช้เวลามากสุดกับโซเชียลมีเดีย ส่วนมิลเลนเนียลไทยเน้นดูวิดีโอ ขณะที่มิลเลนเนียลสิงคโปร์ “ช้อปปิ้ง”

แม้จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกัน แต่พฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนกลุ่มมิลเลนเนียลในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยการสำรวจพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของ Limelight Networks พบว่า ผู้ใช้งานจากประเทศไทยมองคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเป็นอุปกรณ์อันดับสองรองจากสมาร์ทโฟนไปแล้ว หรือก็คือ ประเทศไทยเข้าสู่ยุค Mobile-First ไปแล้วโดยสมบูรณ์ โดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนิยมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์โมบาย เช่น สมาร์ทโฟนเป็นอันดับแรก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านยังนิยมใช้งานคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปอยู่

ขณะที่พบว่าประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรอินเทอร์เน็ตนิยมใช้โซเชียลมีเดียค้นหาคูปองออนไลน์เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนลดระหว่างการช้อปปิ้ง และยังพบว่าชาวสิงคโปร์นั้น ต้องการให้เว็บไซต์สามารถให้บริการได้แบบเฉพาะบุคคล (Personalised) สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันด้วย

ทั้งนี้ มีตัวเลขที่น่าสนใจก็คือ 47 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลในฟิลิปปินส์นั้น ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกออนไลน์ 16 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่มาเลเซีย ตามมาเป็นอันดับสองที่ 42 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยอันดับสามที่ 38 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสิงคโปร์ มาเป็นอันดับ 4 ที่ 35 เปอร์เซ็นต์

พฤติกรรมดังกล่าวนั้นมีผลอย่างมากต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม Mobile Payment ซึ่งการสำรวจของบริษัทวิจัย และที่ปรึกษา Celent พบว่า ภูมิภาคอาเซียนมีการเติบโตของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินสูงมาก (รายงานระบุด้วยว่า สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของฟินเทค)

โดยระบุว่า เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ธุรกิจ Mobile Payment ในอาเซียน ประสบความสำเร็จมาจากความพยายามของภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียนให้ง่ายขึ้น และมีรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งก็พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามนั้น มองว่า บริการฟินเทคของประเทศตนเองยังล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านอยู่พอสมควรเลยทีเดียว 

http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000033580