กลุ่ม “แอคมีอินเวสเตอร์” แนะคนไทยเตรียมพร้อมยุคธนบัตร และเหรียญจะหมดไป เปลี่ยนเป็นยุคสกุลเงินดิจิทัลแทนที่

ปัจจุบัน สกุลเงินดิจิทัลมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และมีส่วนในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สกุลเงินดิจิทัลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ในประเทศไทยกลับยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในด้านสกุลเงินดิจิทัลนี้อย่างทั่วถึง ทำให้คนไทยขาดโอกาสในการลงทุนต่างๆ กลุ่ม “แอคมีอินเวสเตอร์” (Acmeinvestor) เล็งเห็นถึงจุดนี้จึงได้จัดการอบรม “Acmeinvestor Digital Currency Seminar 2017” นี้ขึ้น ในหัวข้อ “โครงการอบรมสุดยอดนักลงทุน ตอน  รู้ทันสกุลเงินดิจิทัล” เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องสกุลเงินดิจิทัล รวมทั้งการใช้สกุลเงินดิจิทัลในชีวิตประจำวัน และธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดยมีสมาชิกในกลุ่มแอคมีอินเวสเตอร์ได้รับการคัดเลือกร่วมอบรมเพียง 1,563 คน จากรายชื่อผู้ลงทะเบียนผ่านช่องทาง www.acmeinvestor,com ราว 20,000 คน นอกจากนี้ภายในงาน ได้รับเกียรติจาก พล.ร.อ. สุชีพ หวังไมตรี ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มาเป็นประธาน และเริ่มการสัมมนาในหัวข้อ “ Blockchain in Thailand” จากผู้บริหาร 3บริษัทยักษ์ใหญ่ จากประเทศจีน เข้ามาร่วมเป็นวิทยากร แลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ตรงจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ บริษัท bitmain.com by ZHANG Yuan , Asst. to CEO, บริษัท huobi.com by LIU Fei , และ บริษทbitkan.com by RUBY Chen , Marketing Director นอกจากนี้ รศ.ดร.โภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ให้เกียรติร่วมบรรยายความรู้ด้านการลงทุนอีกด้วย

กลุ่ม “แอคมีอินเวสเตอร์” (Acmeinvestor) ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มกว่า 1แสนราย ก่อตั้งขึ้นจากผู้ก่อตั้ง 5 คน คือ คุณวรวัฒน์ นาคแนวดี (แอ็คมี่) นักลงทุนอิสระ และที่ปรึกษาทางด้านการผลิต Software ชั้นนำต่างๆมากมาย, คุณชินพจน์ พินิจทรัพย์สิน (จอห์น) นักธุรกิจด้านการนำเข้า-ส่งออกสินค้าไทย-พม่า รวมถึงต่างประเทศในเขตอาเซียน, คุณภัณฑิล จงจิตรตระกูล นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม รวมถึงธุรกิจด้าน Software และ Fintech ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม และการค้าไทย-จีน, คุณสราวุฒิ ม่วงชู Asset management and Financial Advisor and Gold Trader, ร.อ. ดร. อภิธัช เสาะการ ทหารสังกัด บก.ทท. นักภูมิสารสนเทศ และเทคโนโลยีอวกาศด้านดาวเทียมจากประเทศจีน และมีความเชี่ยวชาญด้านนำเข้าส่งออกสินค้าไทย-จีน และธุรกิจ e-commerce ในประเทศจีน ทั้ง 5 คน ได้มีอุดมการณ์เดียวกัน โดยมีเป้าหมาย ในการช่วยเหลือผู้ที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นต่อได้ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องการลงทุนแก่สมาชิกในกลุ่มเพื่อสร้างรายได้แล้วแบ่งรายได้ 10% มาเพื่อช่วยเหลือสังคม จากอุดมการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มมีกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น acme green day : โครงการปลูกต้นไม้ ณ ศูนย์วิจัยกรีนเพาว์โลเนีย จ.นครราชสีมา , Patong cleaning day : โครงการทำความสะอาดหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต และล่าสุด acme vampire day : โครงการบริจาคเลือด ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เป็นต้น

โดยคุณวรวัฒน์ นาคแนวดี กล่าวว่า “ หากย้อนไปราว 30 ปีที่แล้ว มีงานวิจัยและการคาดเดากันว่าจะมีสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาแทนที่ธนบัตร แต่ไม่สามารถวิจัยและทำออกมาได้จริง แต่ในปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลที่เรารู้จักกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วคือ บิต คอยด์ (Bitcoin) เหรียญกลางอากาศ ที่อยู่ในอินเตอร์เน็ต ต้องมีการขุดหรือการถอดรหัส แต่บิตคอยด์ นั้นไม่ได้เป็นการลงทุนในการซื้อ เบื้องต้นมันคือการถอดรหัส แต่เทคโนโลยีที่เราเรียกว่า Blockchain คือ สมาร์ทคอนแทค สัญญาทางการซื้อขายกันโดยที่ไม่มีตัวกลาง ซึ่ง Blockchain ตัวนี้จะทำให้ บิตคอยด์  มีความน่าเชื่อถือขึ้น คือก่อนหน้านี้การแลกเปลี่ยน หากต่างฝ่ายต้องการแลกเปลี่ยนกัน ต้องผ่านตัวกลางคือธนาคารถึงจะทำได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องมีตัวกลางแล้วหากเรามีBlockchain เราสามารถแลกเปลี่ยนได้โดยตรงและปลอดภัยที่สุด  ถือเป็นเทคโนโลยี สมาร์ทคอนแทคที่ปลอดภัยที่สุดในโลก และบล็อกเชน เข้าสู่ทุกอุตสาหกรรมที่เป็น ไฟแนนเชียล เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหรกรรมด้านพร็อพเพอร์ตี้ ซื้อรถมือสอง การซื้อขายสินค้า ญี่ปุ่นตอนนี้ก็ประกาศให้ยอมรับ บิตคอยด์ เป็นสกุลเงิน มีร้านค้าราว 2 แสนร้านที่สามารถชำระด้วยบิตคอยด์ได้เลย แม้แต่ประเทศจีนเองก็กำลังดันขึ้นมาและเมื่อต้นปีอนุญาตให้มีการซื้อขายได้เลย ขณะนี้เราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีนี้ได้ ปัจจุบันผู้บริโภคมองบิตคอยด์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเพราะบิตคอยด์ไม่สามารถถูกโจรกรรมได้ สรุป Blockchain คือ ระบบที่มาสร้างให้บิตคอยด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และ บิตคอยด์ คือ สกุลเงินดิจิทัล

กลุ่ม “แอคมีอินเวสเตอร์” ศึกษาเทคโนโลยีนี้มากว่า 5 ปีแล้ว จึงได้ใช้ความรู้ความสามารถส่งต่อไปในกลุ่มของเราก่อน ต่อไปโลกเราจะลดเรื่องการใช้เงินธนบัตร เหรียญลง หันมาใช้สกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น สังเกตว่าราคาน้ำมัน ราคาทองคำลดลง แต่สกุลเงินดิจิทัลกลับมีมูลค่าสูงขึ้น เพราะคนเริ่มกังวลว่าการมีของมีค่านั้นไม่ปลอดภัย แล้วหันไปสะสมสกุลเงินดิจิทัลที่คาดหวังในอนาคต กองทุนหลายๆกองทุนเริ่มตกและขาดทุน เพราะนักลงทุนเริ่มย้ายเงินเข้าสู่สกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไม บิตคอยด์ คืออนาคต เราควรเริ่มให้ความรู้กับคนที่สนใจทันที ส่วนแอ็คมี อินเวสเตอร์ จะเป็นฮับ (Hub) ในอนาคตหรือไม่นั้นคงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้เราขอมุ่งเน้นการเป็นศูนย์ให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง โดยกลุ่มเรามีอุดมการณ์และความเชื่อมั่นที่ต้องการให้ความรู้ความเข้าใจกับสมาชิกก่อนการลงทุน เพื่อจะได้รู้เท่าทัน และไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกง ที่สำคัญสมาชิกและบุคคลทั่วไปจะได้นำความรู้ไปประกอบธุรกิจของตัวเองและนำรายได้แบ่งไปช่วยเหลือสังคมต่อไป”