คนไทยชอบ “ตลาดนัด” โซเชียล คอมเมิร์ซ จะขายได้ ยังไงก็ต้องมีออฟไลน์

ถูกคาดการณ์ถึงบทบาทและการเติบโตของ อีคอมเมิร์ซ ในไทย ผู้บริโภคก็ให้การตอบรับที่ดีขึ้น ทั้งความรู้ความเข้าใจ รวมถึงเรื่องระบบอินฟราสตรัคเจอร์ต่างๆ ทำให้มีแบรนด์อีคอมเมิร์ซจากต่างชาติยังคงเข้ามาตีตลาดในไทยต่อเนื่อง

หนึ่งในรูปแบบของอีคอมเมิร์ซที่มาแรงก็คือ โซเชียล คอมเมิร์ซ การซื้อของออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์ ส่วนใหญ่เป็นโมเดลแบบ C2C เป็นผู้บริโภคซื้อขายกันเอง ในยุคนี้ได้มีการไลฟ์สดในการขายสินค้าแล้วด้วย และแตกออกเป็นกลุ่มสำหรับผู้ที่มีความสนใจในกลุ่มสินค้าต่างๆ เช่น เสื้อผ้ามือสอง สินค้าแม่และเด็ก กล้องถ่ายรูป เป็นต้น

สำหรับ “ขายดี (Kaidee)” หนึ่งแพลตฟอร์มซื้อ-ขายของออนไลน์ที่ให้ผู้ซื้อกับผู้ขายมาเจอกัน มีทั้งสินค้ามือหนึ่ง และมือสอง ได้ทำตลาดในไทยได้ 5 ปีกว่าแล้ว มีแนวโน้มในการเติบโตมากขึ้น พร้อมทั้งมีการแตกเมนต์ย่อยตามสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงๆ อย่างรถยนต์ในชื่อ RodKaidee

ทิวา ยอร์ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Kaidee กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเหล่านี้โตเพราะโดยพื้นฐานของคนไทยชอบช้อปปิ้ง “ตลาดนัด แหล่งรวมสินค้าเยอะๆ หลากหลายอย่าง ได้เจอพ่อค้าแม่ค้า ได้พูดคุย และได้ต่อราคาได้ แพลตฟอร์มต่างๆ เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเป็นตลาดนัดออนไลน์ ในขณะที่แพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่างลาซาด้า และอื่นๆ ไม่สามารถทำได้

“แม้เวลานี้ผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในไทย เพราะยังคงมองเห็นโอกาสการเติบโตในไทยอีกมาก ซึ่งเทรนด์เวลานี้ คือการเป็น Omni Channel รวมทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน และต้องมีพื้นที่ออฟไลน์ในการต่อยอดแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้มากขึ้น”

ขายดี จึงมีอีเวนต์ Kaidee Swap Meet Market จัดขึ้นที่ห้างมาบุญครองในเดือนกันยายนนี้ เป็นตลาดนัดออฟไลน์รวมร้านค้ากว่า 60 ร้านมาขายของ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าขายดีมีของขายเยอะ ไม่ได้มีแค่ของเก่าเพียงอย่างเดียว เพราะขายดีก็ยังคงต้อง Educate ตลาดอยู่เพื่อสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภค

นอกจากผุดตลาดนัดออฟไลน์แล้ว กลยุทธ์หลักในตอนนี้คือแตกแบรนด์ตามเซ็กเมนต์สินค้าต่างๆ ตามความนิยมของผู้บริโภค ได้เริ่มจากกลุ่มรถยนต์ในชื่อ RodKaidee เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการขายมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 50% หรือ 15,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จากมูลค่าการขายทั้งหมด 30,000 ล้านบาท

การแตกซับแบรนด์ออกมาครั้งนี้เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้บริโภคได้ค้นหาสะดวกมากขึ้น มีการแยกประเภทของรถที่ชัดเจน จากเดิมที่เป็นแค่แยกกลุ่มรถยนต์ออกมาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้แยกประเภทรถ

จากสถิติของสินค้ากลุ่มรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก ขายดีพบว่ามีการประกาศขายรถยนต์มากกว่า 80,000 คัน มีผู้ใช้เข้ามาใช้งาน 4.1 ล้านคน มีทราฟฟิกการเข้าชม 256 ล้านวิว/เดือน ในครึ่งปีแรกมีการขายรถไปได้แล้วกว่า 56,700 คัน เฉลี่ยวันละ 415 คัน แบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ ฮอนด้า, โตโยต้า, อีซูซุ, นิสสัน และมิตซูบิชิ

ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กับรถยนต์ก็คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่เตรียมแตกซับแบรนด์ออกในช่วงปลายปีนี้ เพื่อในการค้นที่ที่สะดวกมากขึ้น กลุ่มนี้มีมูลค่าการขายคิดเป็น 30% จากมูลค่ารวม หรือ 9,000 ล้านบาท มี 6,639 รายการที่ประกาศขายในช่วงครึ่งปีแรก

สำหรับภาพรวมทั้งหมดของขายดีในช่วงครึ่งปีแรกปี 2560 มีมูลค่าการขายที่เกิดขึ้นบนขายดี 30,000 ล้านบาท มีประกาศขายมากกว่า 5 ล้านประกาศ มีสินค้าที่ขายได้กว่า 900,000 รายการ หมวดสินค้าที่มีคนลงขายมากที่สุด ได้แก่ มือถือ/แท็บเล็ต, อสังหาริมทรัพย์, รถยนต์, เสื้อผ้า และมอเตอร์ไซค์ คาดการณ์ครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นมากกว่าปีที่แล้วอีก 100%

รายได้ของขายดีมาจาก 2 ส่วนด้วยกัน 60% บริการเสริมให้กับผู้ลงประกาศขายสินค้ามีการเลื่อนประกาศราคาตั้งแต่ 5-50 บาท และ Top Ads ให้ประกาศค้างอยู่ด้านบนสุดของเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่ 50-400 บาท ส่วนอีก 40% เป็นค่าโฆษณาเป็นในรูปแบบของ Native Ads ที่จะเนียนๆ ไปกับประกาศ กำลังจะทำโฆษณาที่สนับสนุนวิดีโอด้วย