กระบวนการพิทักษ์สถาบันกษัตริย์

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านปัญหาการโกงกิน การซื้อเสียงของนักการเมือง และคอรัปชั่น ของรัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณ ตลอดจนพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์

ตลอดช่วงเวลา 8 ปีของการเป็นรัฐบาล ทักษิณไม่เพียงแต่บ้านเมืองจะเกิดปัญหาโกงกิน คอรัปชั่น การกอบโกยผลประโยชน์พวกพ้อง แต่ยังมีการกระทำที่เป็นการจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด และถึงขั้นเป็นขบวนการล้มล้างสถาบันฯ

การกระทำเช่นนี้มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา หลังการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ต้องระเห็จไปอยู่นอกประเทศ การโจมตีสถาบันมีขึ้นในที่ลับและที่แจ้งดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการจัดตั้งกลุ่ม นปก. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) หรือที่เรียกว่า กลุ่มเสื้อแดง เป็นกลุ่มที่ออกมาสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร

แม้ว่าจะมีการได้รัฐบาลที่เลือกตั้งเข้าใหม่ แต่ก็มีสภาพเป็นเพียงรัฐบาลนอมินีระบอบทักษิณ โดยได้มีความพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดให้กับทักษิณให้กลับสู่อำนาจมาแล้วหลายครั้งหลายหน การต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มเปิดฉากอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม และเป็นการประกาศให้เป็นการต่อสู้สงครามครั้งสุดท้าย ที่ยืดเยื้อยาวนาน กินเวลามารวมเวลาเกือบ 6 เดือน จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ จากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่รัฐบาลนอมินีภายใต้การนำของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งให้มีการสลายการชุมนุม จนมีคนล้มตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

หลังเหตุการณ์ไม่เพียงแต่ไม่มีการนำคนผิดมาลงโทษ รัฐบาลของนายสมชายยังได้มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฟอกผิดให้กับทักษิณและพลพรรคพลังประชาชนกลับสู่อำนาจใหม่ ล้างบาองค์กรอิสระ และที่สำคัญคือการลดอำนาจขององคมนตรี

กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งชุมนุมต่อเนื่องมาเกือบ 6 เดือนเต็ม จึงต้องได้ยกระดับการประท้วง ปิดล้อมรัฐสภา และใช้กลยุทธ์ดาวกระจายไปยังสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประกาศให้เป็น “สงครามม้วนเดียวจบ” จนกลายเป็นปัญหาที่คุกรุ่น

หลายคนมองว่าพันธมิตรฯ เป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคมและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่หากมองให้ลึกแล้ว ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ปัญหาการคอรัปชั่น ซื้อสิทธิขายเสียง เพื่อเข้ายึดกุมอำนาจทางการเมือง และผูกขาดอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการคอรัปชั่นในโครงการต่างๆ เพื่อถอนทุนทางการเมือง จนกลายเป็นระบบธุรกิจการเมืองที่ใช้เงินเป็นที่ตั้ง จะยังคงเป็นปัญหาฝังรากลึก และถึงขั้นนำพาไปสู่การสถาปนาระบอบการเมืองใหม่ อย่างที่มีความพยายามกันในที่สุด

ที่จริงปัญหาทุจริต คอรัปชั่นอยู่คู่กับการเมืองไทยมานาน เพียงแต่วิธีการทุจริตไม่แยบยล และสลับซับซ้อน เล่นแร่แปรธาตุ ด้วยการผูกขาดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง เหมือนกับช่วง 8 ปีที่ผ่านมา จนทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองไทย

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทักษิณยังได้แสดงออกถึงการกระทำ ทั้งคำพูด และพฤติกรรมที่เสมือนเป็นการตีเสมอ และพยายามดึงสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอด สมัยที่ยังเป็นรัฐบาล ทักษิณกล่าวหาว่า ปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมือง เป็นเพราะผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ

ในการสัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น คำให้สัมภาษณ์ของทักษิณ ที่บอกว่าได้ส่อความหมายให้ต่างชาติเข้าใจว่า พระเจ้าอยู่หัวมีส่วนเกี่ยวข้องในการขับไล่ทักษิณออกนอกประเทศ จึงต้องมาขออภัยโทษ และยังถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล นิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ และนิวสวีค ที่ได้ตีพิมพ์บทความวิจารณ์ ว่า ระบอบทักษิโณมิกส์ได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศมากกว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

แม้แต่ในเหตุการณ์โฟนอินมายังรายการ ความจริงวันนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่เป็นการรวมพลังของกลุ่มเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทักษิณ บอกว่า ไม่มีใครนำตนกลับประเทศได้นอกจากพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพลังของประชาชน

คำพูดของทักษิณเป็นการหมิ่นเหม่มาก การที่ไม่สามารถกลับประเทศได้เป็นการโยนความผิดให้กับเบื้องสูง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงให้กลับ หรือไม่ก็ต้องให้ประชาชนรวมพลังถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

ทั้งสภาทนายความ และสื่อมวลชนบางฉบับต้องพาดหัวประณามการจาบจ้วงสถาบันของทักษิณในครั้งนี้

ล่าสุด รัฐบาลนอมินีของนายสมชายไม่เพียงแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ฟอกผิดให้กับทักษิณและพวก ยังมีความพยายามลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน เช่น การล้มเลิกสถาบันองคมนตรี (อ่านล้อมกรอบ)

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม การต่อสู้เพื่อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งนี้ เพื่อต่อต้านปัญหาการคอรัปชั่น ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสถาบันกษัตริย์ ที่ต้องการควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และจนถึงขั้นล้มล้างสถาบัน ต่อสู้กับขบวนการล้มล้างสถาบัน แม้จะต้องแลกด้วยเลือดและน้ำตา