เครื่องดื่มชูกำลัง (ใจ)

ถ้าใครได้ดูหนังโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังเวลานี้ ต่างรู้สึกตรงกันว่า กำลัง “เปลี่ยนไป” M-150 เคยใช้พรีเซ็นเตอร์ นักร้อง มาอย่างยาวนาน ก็หันมาสื่อสารด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิต สนับสนุนความคิดนอกกรอบ ในขณะที่ กระทิงแดง กำลังรีแบรนด์อย่างคึกคัก เลือกสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ อะไรคือโจทย์ใหม่ที่ทำให้เครื่องดื่มชูกำลังต้องเปลี่ยนไป

M-150 เปลี่ยนเนื้อหา

แต่ไหนแต่ไรมา M-150 เป็นแบรนด์ที่ผูกพันและเกี่ยวเนื่องกับพรีเซ็นเตอร์นักร้องดังมาโดยตลอด นับตั้งแต่ เสก โลโซ แด๊ก บิ๊กแอส ตูน บอดี้สแลม ลานนา คัมมิน ดา เอนโดฟิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศิลปินสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่

ในปีที่ 23 ของแบรนด์ M-150 กลับเลือกที่สื่อสารผ่านเรื่องราวของคนทั่วไปในสังคม กับภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุด “คิดนอกกรอบ” เป็นผลงานของสปา แอดเวอร์ไทซิ่ง เอเยนซี่ในเครือโอสถสภา ที่เลือกการสื่อสารง่ายๆ ด้วยกรอบที่ล้อมรอบตัวคนที่ทำให้เราใช้ชีวิตในแบบที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่ หรือเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า การออกนอกกรอบก็ช่วยทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ต้องบอกว่าภาพยนตร์ชุดนี้ของ M-150 นำคำพูดที่คุ้นหูเรื่องการคิดนอกกรอบมาฉายให้เห็นเป็นรูปธรรม ทั้งการออกจากกรอบของกลุ่มเด็กเทคนิคที่มักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มาจับมือกัน การออกจากกรอบเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสังคม หรือแม้แต่การออกจากกรอบเพื่อเดินลุยน้ำ ???

การเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณามาที่การใช้ชีวิตรอบนี้ ยังต่อยอดไปยังโครงการช่วยเหลือสังคม CSR ที่ M-150 ได้ร่วมมือกับกรมจัดหางาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ M-150 ช่วยเหลือผู้ว่างงาน และเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพ เป็นโครงการระยะยาว ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ แรงงานถูกเลิกจ้าง โฆษณาในลักษณะนี้น่าจะเข้ากับสถานการณ์ได้ดีกว่า การใช้พรีเซ็นเตอร์ นักร้อง ต้องไม่ลืมว่าลูกค้าของเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ การซื้อใจกันในยามยาก ย่อมเหมาะสมกว่า เพราะหากในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี คนเหล่านี้เมื่อมีประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์แล้ว โอกาสจะกลับมาเป็นลูกค้าอีกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

ที่มองข้ามไม่ได้ โฆษณาชิ้นนี้ยังต้องการสื่อสารกับลูกค้าที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ชอบท้าทาย และไม่ยึดติดกับกรอบ ยังตอกย้ำสโลแกน “ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย” และยังคงสไตล์การเล่าเรื่องที่สนุก หยิบยก Computer Graphic เล็กๆ สร้าง “กรอบ” ให้ดูมีสีสันและช่วยให้การเล่าเรื่องที่เป็นนามธรรมให้ดูชัดเจนขึ้น เพราะโอสถสภามองว่า ในขณะที่ลูกค้าหลักซึ่งเป็นกลุ่มคนใช้แรงงานหายไปตลาด การหาลูกค้าหน้าใหม่วัยรุ่นดูจะเป็นเรื่องยั่งยืนในอนาคตมากกว่า

กระทิงแดงปูทางสู่การ Relaunch แบรนด์

ขณะที่กระทิงแดง แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังแรกๆ ของไทยแต่ไปเติบโตและโด่งเมืองนอก ภายใต้แบรนด์ “เรดบลู” ทำให้ส่วนต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในไทยให้กับ M-150 ก็ถึงเวลาหวนกลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดไทยอีกครั้ง โดยเลือกที่จะสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัย โดนใจคนรุ่นใหม่ ใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ของเรดบลู วางงบการตลาดไว้ถึง 200 ล้านบาท

การใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นทางเลือกหนึ่งของกระทิงแดง ที่มองเพื่อให้ภาพไม่ซ้ำรอยกับทาง M-150 นั่นเอง และพรีเซ็นเตอร์ที่เลือกมาแต่ละคนได้สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์มีความทันสมัยขึ้น

ประวิทย์ วัจนะวุฒิวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แอมเมกซ์ ทีม แอ๊ดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ซึ่งรับผิดชอบดูแลแบรนด์กระทิงแดงตั้งแต่ต้นปี 2551 ต่อจากพับลิซิส ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่กับ POSITIONING

เริ่มตั้งแต่การใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นนักร้องดังที่ดูจะซ้ำรอยกับ M-150 แต่การใช้แบงค์ วงแคลช ก่อนหน้านี้ถูกใช้เพื่อสะท้อนถึงภาพ Brand Personality ของกระทิงแดงผ่านแคมเปญ “2 มือ 1 ใจ อะไรก็เป็นไปได้” ที่ต้องการดูทันสมัย เหมาะกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น พร้อมกับ Tie-in ในภาพยนตร์ที่แบงค์แสดงเป็นพระเอกด้วย

จากนั้นเพียงไม่กี่เดือนก็เข้าสู่ช่วงของการ Relaunch แบรนด์ เพื่อใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ Brand Modernization กับพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ กีกี้ หรือศักดิ์ นานา

การเลือก กีกี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดของกระทิงแดง ไม่ใช่เพียงเพราะเขามีเรื่องราวที่น่าสนใจเท่านั้น แต่การดริฟท์รถ ซึ่งเป็น “กีฬา” ที่เขาเชี่ยวชาญนั้น มีภาพลักษณ์ทันสมัย และกำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นที่ชื่นชอบกีฬา Extreme ทั่วโลก อันจะช่วยอัพเกรดแบรนด์กระทิงแดงในความรู้สึกของผู้บริโภคชาวไทยด้วย เช่นเดียวกับแบรนด์ Red Bull ที่สนับสนุนกีฬา Extreme มาอย่างยาวนาน จนประสบความสำเร็จระดับโลก

ไม่ดังแต่คาแร็กเตอร์ชัด

ประวิทย์ บอกว่า ไม่ต้องการเรื่องราวของพรีเซ็นเตอร์ที่ยากจน ข้นแค้น ชีวิตลำบาก ถึงค่อยผลักดันชีวิตไปสู่เป้าหมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มิหนำซ้ำเขายังมองว่าน่าเบื่ออีกด้วย

ดังนั้น เขาจึงเลือกเสนอเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ของคนที่ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ สุขสบาย แต่กลับเลือกที่จะเดินตามฝัน แม้จะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ ก็สามารถคว้าฝันไว้ได้

“เราต้องการสื่อสารว่า โอกาสเป็นของทุกคน อย่ามัวแต่งอมืองอเท้า”

ก่อนทำภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ ประวิทย์ได้มีการสำรวจและพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นและพบว่า กลุ่มวัยรุ่นมีความคิด มีฝัน ไม่ใช่ไร้สาระ แต่งตัว เล่น กิน เที่ยว ไปวันๆ

“พวกเขาค่อนข้างจริงจังกับชีวิต แต่ขาดแรงบันดาลใจ เราจึงหวังว่าเรื่องราวของกีกี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ได้ แม้เขาจะไม่ดังในระดับแมส แต่เราแนะนำให้คนรู้จัก และเชื่อว่าเขาจะเป็นหนึ่งในฮีโร่ของคนไทยได้ ในฐานะที่เขาช่วยจุดประกาย กระตุ้นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่”

ทั้งสองแบรนด์ต่างมุ่งหวังว่า โฆษณาชิ้นเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่าราว 15,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ติดลบไปแล้ว 3-4 % และมีแนวโน้มว่าจะติดลบ 4-5% ในสิ้นปีนี้ โดยที่ M-150 ผู้นำตลาดมียอดขายติดลบ 1-2% ขณะที่กระทิงแดงเบอร์ 2 มียอดขายติดลบถึง 7% จะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง แม้ในยามเศรษฐกิจขาลงก็ตาม แต่การสร้างแบรนด์ยังเป็นเรื่องจำเป็น เพียงแต่ต้องเปลี่ยนเนื้อหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น

ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง
M-150 60%
กระทิงแดง 15%
อื่นๆ (คาราวบาวแดง ฉลาม ลิโพวิตันดี แรงเยอร์) 25%