การเมืองใหม่-ขั้วอำนาจใหม่ บนเส้นทางที่ไม่มีวันบรรจบ

การลอบสังหาร คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อรุ่งเช้าวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ไม่ได้มีแต่ด้านร้าย หรือสัญญาณอันตรายสำหรับมวลชนพันธมิตรฯ เพียงด้านเดียว

ถ้าหากเชื่อว่า เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีส่วนดีมาด้วยเสมอ เพราะอย่างน้อยๆ ชีวิตคนชื่อ “สนธิ” ก็พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชรับจ้างได้หวุดหวิด

กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้สูญเสียแกนนำคนสำคัญไปในเช้าวันนั้น

ที่สำคัญ “การเมืองใหม่” ที่มวลชนคนเสื้อเหลืองต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองภายใต้การนำของ “สนธิ” ที่กำลังถากถางเส้นทางเดินร่วมกันกับมวลชน

“การเมืองใหม่” อาจจะสะดุดไปบ้าง แต่ไม่ได้หยุดลง

โดยการลอบสังหารเพื่อปลิดชีพแกนนำคนสำคัญของพันธมิตรฯ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเพราะบทบาทที่ผ่านมาและกำลังเป็นอยู่ของคนชื่อสนธิ ทั้งในหน้าที่สื่อ และแกนนำมวลชน

การถูกลอบยิง ยิ่งทำให้เห็นอะไรเด่นชัดขึ้น โดยนับตั้งแต่การออกหมายเรียกผู้ต้องหา 2ราย ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ตำรวจสังกัด บช.ปส. ช่วยราชการที่ดีเอสไอ และ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ทหารชั้นประทวนจากศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี ช่วยราชการ กอ.รมน. ภาค 4

เป็นสองคนมีสี สีกากี-สีเขียว ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็น “มือสังหาร”

เพราะแค่เพียงปรากฏชื่ออกมา ยังไม่ได้มีการมอบตัว หรือออกหมายจับ แต่ก็ทำให้เห็นความคืบหน้าของคดี มีการเชื่อมโยงไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องหลายระดับ

และแน่นอน การสาวไปถึงบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เป็น “ผู้บงการใหญ่” ที่ออก “ใบสั่งฆ่า”

ด้วยข้อสันนิษฐาน องค์ประกอบต่างๆ การเริ่มต้นสาวโยงสายสัมพันธ์จากผู้ปฏิบัติการ“สองสี” ไปยังกลุ่มคนมีสีที่เหนือกว่ามีอำนาจสังการ รวมทั้งโยงไปยังระดับส่วนยอด

ในเบื้องต้น พอจะได้เค้าสรุปขั้นแรกได้ว่า “เกมสังหาร” ครั้งนี้มีผู้บงการระดับสูง กลุ่มบุคคลที่กำลังเดินเกมสร้างและขยายฐานอำนาจในระหว่างที่กำลังมีการช่วงชิง

“Master Mind” อยู่ใน “ขั้วอำนาจใหม่”

และบางข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงการเชื่อมต่อไปยังบางขั้วที่ “สูญเสียอำนาจ” และกำลังเดินแผนเดินเกมในการฟื้นฟู กลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง

โดยสันนิษฐานเบื้องต้น เมื่อทั้งสองขั้วอำนาจต่างมีศัตรูร่วม คือฝ่ายที่คอยขัดขวาง“แผนการ” ในส่วนของขั้วตัวเอง

เมื่อต่างมีเป้าหมายร่วม ความต้องการตรงกัน จึง “สมคบคิด” ร่วมมือกำจัด “เสี้ยนหนาม” ให้พ้นทาง

แน่นอน “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีบทบาทในการเปิดโปงพฤติกรรม แผนการต่างๆ ของทั้งสองขั้วอำนาจ ย่อมหนีไม่พ้นเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัด

รวมทั้งในอีกทางหนึ่ง ก็มีพยายามออกมาพูดถึงอีกสูตรสันนิษฐานการฆ่า โดยเขี่ยลูกให้พ้นจากสองขั้วข้างต้น โยนเรื่องการลอบสังหาร “สนธิ” ครั้งนี้ เป็นการ “เล่นกันเอง”

เบี่ยงเป้าไปที่ “ขั้วอำมาตย์” ที่มีบางส่วนมีความไม่พอใจในบทบาทของแกนนำคนเสื้อเหลือง ที่เปิดแฉบางเรื่องราวไปกระทบ จนต้องการลดบทบาทของกลุ่มมวลชนกลุ่มนี้

จะอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทำให้เห็นได้ว่า สิ่งที่มวลชนคนเสื้อเหลืองได้ทำ กำลังทำ และมีเป้าหมายที่จะทำต่อไป เพื่อนำความเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่บ้านเมือง ย่อมมีอุปสรรคขวางกั้น

มีการก่อตัวเป็นแรงต้านแนวทาง “การเมืองใหม่” ชัดเจนแล้ว

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่รับรู้จากเหตุลอบยิงแกนนำพันธมิตรฯคนสำคัญ พอจะมีข้อดีอีกอย่าง คือทำให้เกิดความชัดเจนในการมอง และวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทย

ณ วันนี้ ไม่ได้มีแค่สองขั้วฝ่าย การช่วงชิงอำนาจ ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่คน 2 สี!

และไม่ว่าจะแบ่งขั้วแยกฝ่ายกันเช่นใด แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ และความต้องการ หากสอดคล้องลงตัว เห็นต้องกัน ก็พร้อมจะจับมือร่วมงานเป็น “ทีมเฉพาะกิจ”

ทั้งนี้ที่ต้องขอโฟกัสเป็นพิเศษ ก็คือ “ขั้วอำนาจใหม่” ที่คนของกลุ่มพันธมิตรฯ สื่อในเครือผู้จัดการ นักวิเคราะห์การเมือง ได้ติดตามความเคลื่อนไหว และจับทางขั้วอำนาจนี้มาตั้งแต่แรก

ในช่วงของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯในการต่อต้านรัฐบาลนอมินี กลุ่มคนในขั้วอำนาจนี้ แม้ไม่ประกาศตัวเป็นศัตรู แต่ก็แสดงอาการไม่ปลื้มม็อบเสื้อเหลืองเช่นกัน

แต่ทุกอย่างมาปรากฏ ภายหลังการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลที่รับรู้กันว่า ตั้งขึ้นในค่ายทหาร และทำให้เห็นองคาพยพ องค์ประกอบของขั้วอำนาจใหม่

โดยเฉพาะการเดินเกมดึงพรรคการเมืองต่างๆ ตัวแปรสำคัญคือกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ที่พลิกข้างมาตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์

และผู้ที่มีบทบาทสำคัญ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุเทพเทือกสุบรรณ นายเนวิน ชิดชอบ

งานตั้งรัฐบาลของคนกลุ่มนี้จึงเป็นจุดเริ่มในการสร้างขั้ว “ทหาร ตำรวจ นักการเมือง”

โดยในปีกของกองทัพ ที่จริงก่อนหน้านี้ ก็มีความเคลื่อนไหว ของทั้ง 3 บิ๊กทหาร ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องจากหน่วยทหารในพื้นที่ภาคตะวันออก “บูรพาพยัคฆ์”

เครือข่ายใหญ่ที่กำลังผงาดในกองทัพ โดยมี “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร เป็นเซ็นเตอร์ สำหรับ พล.อ.ประวิตร กับ “ครุฑตัวที่สอง” เห็นความเคลื่อนไหวสอดคล้องกับคำทำนายของพระอาจารย์ที่ให้ความเคารพ ในความพยายามทำฝันให้เป็นจริง

ทั้งการสร้าง “ฐานอำนาจ” ในกองทัพ และการขยายฐาน “บารมี” ในองค์กรการกุศล มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก

ด้วยเพราะมีทุนตั้งต้นที่ดี จากสายสัมพันธ์ ทั้ง จปร. เซนต์คาเบรียล เครือข่ายนักการเมือง และวงการสีกากี ที่มีน้องชาย พล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั่งครองเก้าอี้ ผบ.ตร.

เมื่อบวกรวมเครือข่ายทั้งหมด ขั้วของ “ประวิตร” จึงกลายเป็นขั้วอำนาจ “ไฮเพาเวอร์”

มีอำนาจล้นเหลือ มากกว่าที่จะเลือกปลายทางแค่เก้าอี้ รมว.กลาโหม

ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับหลายเหตุการณ์ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะกรณีเหตุสงกรานต์ทมิฬ ที่ทั้งทหาร ตำรวจ และนักการเมือง ที่ “เครือข่ายประวิตร” รับผิดชอบอยู่

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนในความล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์จากม็อบเสื้อแดง

จนมีการพูดกันอย่างดักคอว่า ขั้วอำนาจนี้กำลังเดินเกม “เสียบกลาง” ทะลุสองขั้ว ทั้งบ่อนเซาะทำลายพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังอ่อนแอ และยันขั้วทักษิณที่ยากจะกลับสู่อำนาจในเร็ววัน

นอกจากนี้ เพราะการสั่งสมกำลังคน กำลังทุน สร้างฐานอำนาจ บารมี ในแนวทางการสร้างฐาน “กลุ่มอำมาตย์ใหม่” ที่กำลังพุ่งขึ้นมา จนถูกมองว่ากำลังคิดการใหญ่

เทียบชั้นวัดบารมี “อำมาตย์เก่า” ที่อยู่ระหว่างการตั้งหลัก หลังถูกถล่มจนซวนเซ

ขั้วอำนาจนี้ ถูกเกาะติดและเปิดโปงพฤติกรรมความเคลื่อนไหว โดยบรรดาเสื้อเหลือง และสื่อในเครือผู้จัดการ ฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ

คนสำคัญของกลุ่มเสื้อเหลืองอย่าง “สนธิ” ที่ถูกมองเป็น “หัวโจก” คอยขัดขวางแผนการของผู้มีอำนาจที่แยบยลในการฉ้อฉลมาโดยตลอด ถูกลอบสังหาร

“ขั้วอำนาจใหม่” ย่อมถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้น??

และเวลานี้ กลุ่มคนเสื้อเหลืองได้หันมามองกันแล้วว่า ขั้วอำนาจนี้ “อันตราย”

ถึงแม้ว่ากลุ่มบุคคลในขั้วนี้ย่อมมีสิทธิในการก่อร่างสร้างเส้นทางอำนาจของตัวเองก็ตามที

แต่เพราะเป็นเส้นทางขนานที่ไม่มีวันบรรจบ กับเส้นทางสาย “การเมืองใหม่”