ภัยจากการใช้งาน Social Network

ในช่วง 1-2 ปีนี้ การเติบโตของการใช้งาน Social Network ในเมืองไทย อยู่ในอัตราที่สูงมาก จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น จากจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) ที่เพิ่มสูงขึ้น ยอดขายของสมาร์ทโฟนเติบโตในระดับก้าวกระโดด บนความอิ่มตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ที่มียอดผู้ใช้มือถือมากกว่าจำนวนประชากร

ความนิยมของสมาร์ทโฟน กลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และผู้คนถูกเชื่อมโยงเข้าหากันผ่าน Social Network เกิดพฤติกรรมการแชร์ การแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสารมากมาย

ผู้คนเริ่มแสดงออกมากขึ้น นำชีวิตส่วนตัวมาเปิดเผยมากขึ้น ผู้ใช้ก็อยากรู้เรื่องราวและชีวิตส่วนตัวของคนอื่นมากขึ้น ทุกคนก็อยากให้คนอื่นมาสนใจเรื่องของตัวเอง เครื่องมืออย่างเช่น การคอมเมนต์ การแชร์รูป การโพสต์สถานะว่าทำอะไร คิดอะไร หรืออยู่ที่ไหน การกด Like ล้วนแต่ตอบโจทย์พฤติกรรมของการแสดงออกของผู้ใช้ Social Network ทั้งสิ้น

เมื่อมีการเปิดเผยเรื่องของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีเพื่อน คนรู้จักมาให้ความสนใจมากขึ้น กลายเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เปิดเผยเรื่องของตัวเองที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวมากยิ่งขึ้น จนหลายครั้ง ผู้ใช้เริ่มแยกแยะไม่ออก เรื่องใดควรเปิดเผยหรือไม่ควรเปิดเผย ควรเปิดเผยกับใครและไม่ควรเปิดเผยกับใคร

คนส่วนใหญ่เริ่มขาดความระมัดระวังในเรื่องของการแชร์เรื่องของตัวเอง ขาดความตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดจากความรู้ไม่เท่าทัน บทความนี้ผมจึงตั้งใจเขียนเพื่อเตือนให้ผู้ใช้ มีความตระหนักมากยิ่งขึ้น

เมื่อช่วงต้นปี 2010 มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook.com ได้ประกาศต่อสาธารณะว่า “โลกของความเป็นส่วนตัวได้หมดไปแล้ว” (The Age of Privacy is Over) โดยผู้ที่สมัครใช้งาน Facebook ทุกคนนับจากวันนั้น จะถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (User Information) ต่อสาธารณะ เป็นค่าเริ่มต้น โดยที่ Facebook มีเครื่องมือที่ช่วยกำหนดระดับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลให้เป็นทางเลือก

ดังนั้น ถ้าเราสมัคร Facebook โดยไม่เข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอง ข้อมูลส่วนตัวของเรา ใครๆ ก็เข้าไปดูได้ครับ

ล่าสุด มีผู้ค้นพบว่ามือถือ iPhone ได้แอบเก็บข้อมูลของสถานที่ต่างๆ ที่ผู้ใช้งานเดินทางไป จนรู้ได้ว่าในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้เดินทางไปไหน ช่วงเวลาใดบ้าง แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่า ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในเครื่อง ไม่ได้ถูกส่งออกไปไหน แต่นั่นก็ทำให้ผู้ใช้ควรเริ่มตระหนักว่า ความเป็นส่วนตัวของเรา เริ่มมีน้อยลงไปทุกที

ย้อนกลับมาที่ Facebook หน่อยครับ

เคยกลับไปดูมั้ยครับ ว่าเพื่อนของเราที่มีอยู่นับร้อย นับพัน เป็นคนที่เรารู้จักกี่คน

มีน้อยคนนะครับที่จะรู้จักเพื่อนทั้งหมดของตัวเองใน Facebook

บางคนเรารับเป็นเพื่อน เพราะเพียงแค่เคยเจอหน้ากัน หรือเป็นเพื่อนของเพื่อนโดยไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ไว้ใจได้แค่ไหน

เพื่อนของเราใน Facebook อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคนดีก็ได้นะครับ ในชีวิตจริง เราคงไม่บอกเรื่องราว ชีวิตส่วนตัว ให้กับคนที่เราไม่รู้จัก เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า

แต่ Social Network ทำให้เราขาดความระมัดระวังเวลาจะรู้จักใคร

Social Network ทำให้เราคิดน้อยลง เพราะการกดรับเป็นเพื่อน ง่ายกว่า

กระทั่งเราเชื่อและไว้ใจในตัวตนของคนคนนั้นง่ายขึ้น เพียงแค่คลิกเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัว ก็เชื่อตามนั้นแทบจะทันที

พฤติกรรมของ “การแชร์” เป็นพฤติกรรมที่นิยมกันมากที่สุดในการใช้งาน Social Network

มีการโพสต์บอกว่าตัวเราเอง ทำอะไร อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ตลอดเวลา มีการแชร์รูปอาหารจากร้านที่เราไปกิน การแชร์รูปมือถือใหม่ที่เราเพิ่งซื้อ มีการโพสต์และแทกเพื่อนๆ เพื่ออวดกระเป๋าถือแบรนด์สุดหรู กลายเป็นพฤติกรรมที่เราทำกันคุ้นชินและเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ถ้าเพื่อนใน Facebook ของเรามีคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนรวมอยู่ด้วย เริ่มอันตรายแล้วนะครับ เพราะเรากำลังจะแสดงฐานะหรือแสดงของมีค่าที่เรามี ให้กับคนที่เราไม่เคยรู้จัก เราไม่เคยรู้ว่าเขาขอเราเป็นเพื่อนเพราะอะไร เราไม่ทันดูด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นเป็นใคร ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่คนที่หวังดีกับเราก็เป็นได้

นอกจาก Facebook แล้ว Foursquare ซึ่งเป็นบริการ “Check-in” ตำแหน่ง สถานที่ต่างๆ ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

เว็บไซต์ “PleaseRobMe.com” เป็นเว็บที่ดึงข้อมูลการ “Check-in” ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยเชื่อมโยงเข้ากับ Twitter เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้ Twitter คนนั้น เดินทางไปยังสถานที่ใดบ้างจากการ “Check-in” ใน Foursquare และในสถานที่หนึ่ง มีผู้ใช้ Twitter คนไหนทำการ “Check-in” ด้วย Foursquare เช่นกัน

มีหลายคน “Check-in” ที่บ้านตัวเองทั้ง Foursquare และ Facebook Places เป็นประจำทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน หารู้ไม่ว่า กำลังชี้ช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพที่จ้องจะมาขโมยยกเค้าที่บ้านโดยไม่รู้ตัว

ผู้ไม่หวังดีสามารถคาดเดารสนิยม ฐานะ ทรัพย์สิน ที่อยู่ เส้นทางที่คุณเดินทางในแต่ละวันของเราได้โดยการเชื่อมโยงจากทั้งใน Facebook , Twitter และ Foursquare อย่างที่เว็บ “PleaseRobMe.com” นำมาแสดงให้เห็น

ยิ่งคนเล่น Foursquare เป็นประจำ แทบจะวาดแผนที่การเดินทางออกมาได้เลยว่า ตั้งแต่เราย่างก้าวออกจากบ้าน เราเดินทางไปไหนบ้างในแต่ละวัน และกลับมาถึงที่บ้านกี่โมง อยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัว อยู่บ้าน คอนโด หรือหอพัก ทำงานอยู่ที่ไหน ใช้เวลาอยู่นอกบ้านกี่ชั่วโมงในแต่ละวัน และวันไหน มักจะไม่อยู่บ้านหรือกลับบ้านดึกเป็นพิเศษ ช่วงวันหยุดยาว Twitter และ Foursquare ของเราอาจจะถูกเหล่ามิจฉาชีพติดตามเป็นพิเศษ

ถ้าเราบอกสถานที่ที่เราไป ตำแหน่งที่เราอยู่โดยการใช้ Foursquare ก็เป็นเหมือนการบอกกลายๆ ว่าเราไม่อยู่บ้าน และถ้าอยู่ในสถานที่ไกลๆ ก็เป็นการบอกผู้ไม่หวังดีทางอ้อมว่า เราจะไม่อยู่บ้านหลายวัน

แม้กระทั่งพฤติกรรมการลานอนทาง บน Social Network ก็อันตรายครับ ผู้ไม่หวังดี สามารถคาดเดาเวลานอนของเราในแต่ละวันได้ และถ้าติดตามเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็จะรู้นิสัยการตื่นและการนอนของเรา จะได้เลือกเวลาย่องเข้ามาขโมยของได้ถูกจังหวะ

นอกจากการขโมย ยกเค้า สาวๆ ยิ่งต้องคอยระวังตัวเวลาเล่น Foursquare เพราะเราอาจจะกำลังบอกสถานที่ที่จะไปให้กับเหล่า Stalker เหล่านั้นไว้ใช้ติดตาม อาจจะถูกเหล่า Stalker นี้ติดตาม โดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้

Social Network ทำให้เราย่ามใจและเกิดความไว้ใจในตัวคนที่เราไม่รู้จักง่ายขึ้นและเกิดความระมัดระวังตัวเองน้อยลง

เราสามารถบอกข้อมูลส่วนตัวหลายเรื่องออกไปให้กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนได้ โดยที่ไม่รู้ตัว

การใช้งาน Social Network ต้องอยู่บนความพอดี ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ชีวิตส่วนตัวมากจนเกินไป (Over-sharing) และรู้ตัวอยู่เสมอว่า เรากำลังพูดอะไร มีใครได้ยินในสิ่งที่เราพูดบ้าง

แล้วเราจะใช้ Social Network อย่างสบายใจครับ

วิธีป้องกันเบื้องต้น
เราสามารถเริ่มต้นป้องกันได้โดยการอย่ารับ Add คนที่เราไม่รู้จัก เพราะมิจฉาชีพจะสร้าง Account ปลอมเข้ามาเพื่อสืบประวัติของเราได้

ผมแนะนำให้ตั้งค่า Privacy ที่ลิงค์นี้ http://www.facebook.com/settings/?tab=privacy

ให้ลองเข้าไปสร้าง List ของเพื่อน เพื่อจัดกลุ่มเพื่อน และตั้งค่า Privacy ที่แตกต่างกันสำหรับเพื่อนแต่ละกลุ่ม โดยกำหนดระดับความสำคัญของข้อมูลที่เราต้องการให้แต่ละกลุ่มเห็น และไม่เห็น เช่น ข้อความบนหน้า Wall หรือรูปใน Album ที่อาจจะกำหนดให้เฉพาะเพื่อนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่มีสิทธิ์โพสต์หรืออ่าน

ค่า Privacy อื่นๆ ที่แนะนำให้ตั้งไว้
– Public Search ปิดเพื่อป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าค้นหาชื่อเรา
– Game & App Activity ให้เปิดเฉพาะเพื่อนของเรา (Friend Only)
– Info Accessible ให้เลือกข้อมูลส่วนตัวที่จะให้เพื่อนของเราเห็น
– App You Use เอา App ที่ไม่ได้ใช้ออกไป เพื่อป้องกัน App แปลกปลอมเข้ามาดึงข้อมูลส่วนตัวของเรา (http://www.facebook.com/settings/?tab=applications)

อีกหัวข้อที่ควรตั้งค่าให้เหมาะสม คือ “Connecting to Facebook” ในหน้า Privacy :
– Search for you on Facebook ตั้งให้เฉพาะ Friends Only (เพื่อนเท่านั้นที่หาค้นหาชื่อเราได้ ป้องกันบุคคลแปลกหน้าค้นหาชื่อเราจากระบบค้นหา)
– Send you messages ใครที่สามารถส่ง Message (DM) หาเราได้ ตั้งเฉพาะ Friends Only อีกเช่นกัน เพื่อป้องกันคนแปลกหน้าส่งข้อความหรือลิงค์ที่หลอกให้เราคลิก
– See your friend list รายชื่อเพื่อนของเรา ตั้งให้เฉพาะ Friends Only ของเราก็พอ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่หวังดี ไล่หาความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อน หรือกระทั่งหาเหยื่อรายใหม่ๆได้
– See your likes, activities and other connections กิจกรรมทั้งหลาย พวกที่เราไปกด Likes ไปเมนต์เพื่อนๆ ก็ให้โชว์เฉพาะ Friends Only คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่

สำหรับ 4sq แนะนำให้ปิดเบอร์โทรศัพท์ จากลิงค์นี้ครับ http://foursquare.com/settings
ปิดข้อมูลทุกอย่าง คนที่ไม่ใช่เพื่อนจะได้ดูไม่ได้

และเลือกว่า เราควรจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเราอะไรบ้าง ให้กับคนที่ไม่รู้จัก

วิธีการเช็ก ง่ายๆ ครับ
– ลอง Logout ออกจาก Facebook ชั่วคราว แล้วเข้าไปดูในหน้า Profile ของเราเอง
– ถ้ายังเห็น Wall อยู่ แสดงว่าเรายังไม่ได้ตั้งค่า Privacy ที่ดีพอ
– ถ้าจะให้ดี เมื่อกด Info ต้องเหลือเฉพาะข้อมูลที่เราคิดว่า ใครเห็นก็ไม่เป็นไร ยินดีเปิดเผย (เช่น ชอบเพลงอะไร ชอบหนังเรื่องอะไร)

ฝากส่งท้าย
– อย่า Check-in ตลอดเวลา จนคนอื่นรู้ว่า แต่ละวันคุณไปไหนมาบ้าง เขาจะเดาได้ว่า กว่าคุณจะกลับมา ใช้เวลาเท่าไหร่
– อย่าบอกว่าตัวเองนอนหลับเวลาไหน
– อย่าบอกว่าตัวเองอยู่บ้าน หรือไม่อยู่บ้านเวลาไหน
– อย่าประกาศตัวเองว่าไปต่างจังหวัด
– และที่สำคัญที่สุด อย่า Check-in ที่บ้าน

ด้วยความปรารถนาดี
@worawisut
http://www.facebook.com/MktHub