บริหารเงินแบบ เอ ศุภชัย

นอกจากบ้านในกรุงเทพฯ ราคา 50 ล้านบาท การสะสมรายได้ของเอ ศุภชัย เท่าที่เขาเปิดเผยได้ จะอยู่ในรูปเงินสด และซื้อที่ดิน เริ่มมาจากการได้ที่ดินมรดกจากปู่ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชบ้านเกิดของเขา จำนวน 100 ไร่ จากนั้นเขาก็ทยอยซื้อเพิ่ม ปลูกเป็นสวนยาง 

เงินอีกส่วนจะหมดไปกับการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม Hermes เป็นอีกความคลั่งไคล้ที่เขามีไม่ต่ำกว่า 20 ใบ เอบอกว่าส่วนหนึ่งน้องๆ ในสังกัดซื้อให้เป็นของขวัญ 

นอกจากนี้เขาลงทุนเปิดร้านขายเสื้อผ้า A’rea ในห้างทีสแควร์ คอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ย่านทาวน์อินทาวน์ และเพิ่งลงทุนร่วมกับเมย์ เฟื่องอารมณ์ เพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดร้านส้มตำ 3แห่ง ใช้ชื่อ ตำแหล ที่รัชโยธิน หลังการบินไทย และอิมพีเรียลสำโรง ซึ่งเอบอกว่าเปิดเล่นๆ สนุกๆ 

กว่าจะมาเป็น เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร

เอ ศุภชัย พื้นเพเป็นคนนครศรีธรรมราช พ่อเป็นอาจารย์ เพิ่งปลดเกษียณ ตำแหน่งสุดท้ายรองผู้อำนวยการโรงเรียนในอำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้อง 3 คน เขาเป็นคนโต น้องสาวคนที่สองทำงานเป็นเภสัช คนสุดท้องเปิดโรงเรียนกวดวิชาที่สุราษฎร์ธานี

เอเล่าว่า ใฝ่ฝันอยากเป็นดาราคาตั้งแต่เด็ก มาเรียนต่อคณะวิศวโยธา มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เข้าร่วมกิจกรรมในชมรมหน้าต่างใจ ได้รับการแนะนำจาก “หมอหยอง” สุริยัน อริยวงศ์โสภณ ซึ่งให้ไปเป็นผู้จัดการให้ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี และไปเล่นเป็นตัวประกอบในละคร ได้เงินครั้งละ 400-500 บาท เป็นการจุดประกายครั้งแรกที่ได้สัมผัสวงการ

เรียนจบ เอก็รวบรวมเงินเก็บบินไปอยู่อังกฤษ 1 ปี ไปเรียนทำอาหาร ช่วงนั้นเองได้เจอไปกับ แองจี้ เฮสติ้ง ซึ่งเรียนอยู่นั่น จึงแนะนำให้มาเป็นผู้จัดการให้กับอั้ม พัชราภา ได้เงินเดือนก้อนแรก 8,000 บาท ต่อมาได้มาเป็นผู้จัดการให้ ป๋อ ณัฐวุฒิ เพื่อนรุ่นน้อง  จึงผลักดันแจ้งเกิดที่ช่อง7 ซึ่งกำลังต้องการ พระเอกจบจากอังกฤษหน้าไทยๆ เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางนักปั้นมือทอง 

จนวันนี้เอ-ศุภชัยมีเด็กในสังกัดมากกว่า 50 คน ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขา ได้เอาประสบการณ์ในชีวิตของตัวเองทั้งเรื่องของการเป็นอดีตนักโต้วาทีประจำโรงเรียน และการเรียนวิศวะ ที่ทำให้มองทุกอย่างเป็นระบบ หล่อหลอมให้กลายเป็นนักปั้นที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้  

ด้วยความที่เข้าใจ P-Product ของตัวเองเป็นอย่างดี ว่าเหมาะกับตลาดแบบไหน และพร้อมปรับปรุงคุณภาพสินค้าอยู่เสมอ และรู้จักการตั้งราคา Price ที่สร้างความพึงพอใจกับผู้ว่าจ้างและตัวศิลปิน ด้วยอัตราที่เอ-ศุภชัยพูดว่า “ถ้าเจ้าของสินค้าจ่ายให้เรา 1 ก็ต้องได้กลับไป 10” กับการวางตำแหน่งสินค้าให้ถูกที่ถูกทาง ถูกรสนิยมคนดูตามนโยบายของสถานี