รายงานภาวะตลาดหุ้นและการเงิน ประจำวันที่ 18 มีนาคม 2547

ประเด็นตลาดวันนี้

ดัชนีตลาดหุ้น SET วันพฤหัสบดีปิดบวกร้อยละ 1.89 ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ มาปิดที่ระดับ 687.19 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 24,573.60 ล้านบาท ซึ่งหนาแน่นขึ้น 8,704.69 ล้านบาท เทียบกับวันพุธ

– เงินบาท เงินเยน และเงินยูโร แข็งค่าขึ้นในวันนี้ มาอยู่ที่ระดับ 39.400 บาท/ดอลลาร์ และ 106.98 เยน/ดอลลาร์ และ 1.2270 ดอลลาร์/ยูโร ตามลำดับ

– ดัชนีตลาดหุ้น Nikkei วันพฤหัสบดีปรับตัวขึ้นร้อยละ 0.41 สู่ระดับ 11,484.28 จุด

– ดัชนีตลาดหุ้น Hang Sang วันพฤหัสบดีปิดลบร้อยละ 1.23 สู่ระดับ 12,816.19 จุด

– นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลจะยังคงคุมราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศในระดับปัจจุบัน โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการปล่อยราคาน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับราคาสินค้าให้ปรับสูงขึ้นตาม ทั้งนี้ รัฐบาลคุมราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมาตั้งแต่เดือน ม.ค. และที่ผ่านมาได้ใช้เงินชดเชยราคาน้ำมันไปแล้วประมาณ 3.8 พันล้านบาท

– ธปท. เปิดเผยว่า ยังไม่มีแนวคิดจะออกมาตรการเพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อบุคคล โดยธปท.เพียงแต่ออกมาตรการเพื่อควบคุมการใช้บัตรเครดิตก่อน และอยู่ระหว่างการศึกษาว่ามีการย้ายบัญชีบัตรเครดิตไปยังบัญชีสินเชื่อบุคคล (refinance) หรือการขยายตัวของสินเชื่อบุคคลสูงขึ้น จนน่าวิตกหรือไม่

ภาวะตลาดหุ้น

Japan Nikkei-225
ดัชนีตลาดหุ้น Nikkei วันพฤหัสบดีปรับขึ้น 0.41% สู่ระดับ 11,484.28 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากทัศนคติบวกที่เพิ่มขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทปล่อยสินเชื่อผู้บริโภค กลุ่มธนาคาร และหุ้นตัวอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงิน ขณะที่ การคาดการณ์ว่าทางการญี่ปุ่นอาจจะชะลอการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนในตลาด ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาก อันมีผลกดดันหุ้นกลุ่มส่งออก และถ่วงการทะยานขึ้นของดัชนีหุ้นโดยรวม

Hong Kong’s Hang Sang
ตลาดหุ้นฮั่งเส็งวันพฤหัสบดีร่วงลง 1.23% มาปิดที่ 12,16.19 จุด จากที่บริษัทรอยัล ดัทซ์ขายหุ้นชิโนแพคที่ตนถือส่วนใหญ่ออกมา ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะมีบริษัทต่างชาติอื่นๆ ทำการเสนอขายหุ้น โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงออกมามากขึ้น ประกอบกับ การเปิดตัวที่น่าผิดหวังของหุ้น SMIC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิพของจีน ต่อประชาชนทั่วไป ส่งผลกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนบางส่วนก็ปลีกตัวออกจากตลาดก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้

Thailand’s SET
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันพฤหัสบดีทะยานขึ้น 1.89% เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ ที่ 687.19 ตามทิศทางของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคและสหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร จากความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จในการแก้ไข้หนี้เสีย นอกจากนี้ แรงซื้อหุ้นท่าอากาศยานไทยที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องนั้น ยังช่วยเสริมบรรยากาศการลงทุนในตลาดอีกด้วย

จากการวิเคราะห์ทางด้านเทคนิค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยวันศุกร์ คงมีแนวรับที่ระดับ 675 และ 680 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ระดับ 690 และ 695 ตามสัญญาณทางเทคนิค เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับราคาพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความปลอดภัยของโลกจากภัยก่อการร้าย ตลอดจน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ยังคงหาข้อยุติไม่ได้นั้น ก็คงจะเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการซื้อขายในวันศุกร์ด้วยเช่นกัน

สรุปการเคลื่อนไหวของค่าเงิน

Baht/USD
เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามทิศทางค่าเงินเยน และค่าเงินในภูมิภาค โดยเงินดอลลาร์สิงคโปร์แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และเงินวอนเกาหลีใต้อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้น รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปิดบวกในวันนี้

Yen/USD
เงินเยนแข็งค่าขึ้น จากที่นักลงทุนคาดว่าญี่ปุ่นอาจลดระดับการแทรกแซงลง ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นยังคงปรับตัวขึ้น ต่อเนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่มีปริมาณการเข้าซื้อหลักทรัพย์ญี่ปุ่นโดยนักลงทุนต่างชาติถึงประมาณ 1.296 แสนล้านเยน (หรือ 1.2 พันล้านดอลลาร์) มากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา

USD/Euro
เงินยูโรแข็งค่าขึ้น หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่า อันเป็นผลจากข่าวการเกิดระเบิดที่โรงแรมในกรุงแบกแดด ในขณะที่เงินยูโรไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 1999 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ตลาดรอฟังแถลงการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ในการประชุมสภากลางยุโรปที่จะมีขึ้นในวันนี้ ที่กรุงแฟรงเฟิร์ต

จากการวิเคราะห์ทางด้านเทคนิค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่า ค่าเงินบาทในวันศุกร์นี้ คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 39.30-39.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ตามทิศทางค่าเงินเยน และค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และจากเงินทุนไหลเข้าตลาดทุนในเอเชีย

สรุปการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้

Thai Gov. Bond 1 Year * / Thai Gov. Bond 5 Years * / Thai Gov. Bond 10 Years * / Thailand Bond Volume (MB)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับขึ้นลงแคบๆ ในช่วง –1 ถึง 4 bps. โดยสเปรดระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 2 และ 10 ปี อยู่ที่ 2.60% เพิ่มขึ้นจาก 2.58% เมื่อวันก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทย ลดลงประมาณ 66.05% จากวันก่อน ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี ขยับขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากนักลงทุนมีการชะลอการลงทุน หลังราคาพันธบัตรได้พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้า