เชฟโรเลต สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ผงาดขึ้นสู่อันดับ 4 ตลาดรถกระบะเมืองไทย

บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย)จำกัด ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของเชฟโรเลต โคโลราโด รถกระบะอเมริกันสายพันธุ์แกร่ง ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายของเชฟโรเลตโคโลราโดก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 4 ในตลาดรถกระบะของเมืองไทยเป็นผลสำเร็จ จากการสรุปตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 5.7% นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของเชฟโรเลต โคโลราโด ที่สามารถก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 4 ในตลาดรถกระบะซึ่งได้ชื่อว่ามีการแข่งขันที่เข้มข้น ทั้งที่มีการเปิดตัวไปได้เพียงแค่ 1 ปีเต็มเท่านั้น

มร.วิลเลียม บอทวิค ผู้อำนวยการบริหาร ประจำภาคพื้นอาเซียนของจีเอ็ม เอเซียแปซิฟิค ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากที่รถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด สามารถครองใจผู้ใช้รถในประเทศไทย จนทำให้ยอดขายในเดือนเมษายนที่ผ่านมาก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 4 ในประเภทรถกระบะหนึ่งตันของประเทศไทย ในระยะ เวลาเพียงแค่ 1 ปีหลังจากการเปิดตัวออกสู่ตลาดครั้งแรก ซึ่งผมต้องขอขอบคุณในความพากเพียรของทุกฝ่าย ที่ได้มุมานะทำงานอย่างหนัก จนทำให้ครอบครัวเชฟโรเลตของเราประสบความสำเร็จอีกก้าวสำคัญในวันนี้”

ความสำเร็จของเชฟโรเลตในเดือนเมษายนนับเป็นสถิติใหม่ที่เกิดขึ้น หลังจากปรากฎการณ์สำคัญเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชฟโรเลตสามารถทำยอดขายสะสมของเชฟโรเลต โคโลราโดได้สูงถึง 7,211 คัน คิดเป็นสัดส่วนการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 425 % เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้วมียอดขายรวมอยู่ที่ 1,699 คัน ยอดขายที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสแรกเช่นนี้ ทำให้เชฟโรเลตมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ทุกประเภทถึง 4.3% เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปี 2004

มร.จอห์น ธอมสัน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และการบริการหลังการขาย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เชฟโรเลตสามารถก้าวขึ้นสู่ผู้นำในตลาดรถกระบะเมืองไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 60 % จากยอดขายทั้งหมด และด้วยการเปิดตัวเชฟโรเลต โคโลราโด เครื่องยนต์ใหม่ 2.5 ลิตร คอมมอนเรลในเดือนนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ยอดขายของเชฟโรเลต โคโลราโด จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง”

เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายเฉพาะเดือนมีนาคมในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดขายในเดือนมีนาคมปีนี้ มียอดสูงถึง 3,362 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตมากถึง 528% ทำให้ยอดขายของเชฟโรเลต อยู่ในอันดับ 6 ของตลาดรถยนต์รวมทุกประเภท ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 5 %

นอกเหนือจากนี้ เชฟโรเลตยังสามารถสร้างสถิติยอดขายแบบก้าวกระโดดในตลาดรถยนต์รวมทุกประเภทด้วยตัวเลขยอดขาย 17,345 คัน คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 220 % ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดตัวเชฟโรเลต โคโลราโดครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2004

อีกทั้งยอดขายที่พุ่งทะยานอย่างของเชฟโรเลต ออพตร้า คอมแพกต์ซีดานยอดนิยม เมื่อรวมเข้ากับยอดขายของเชโรเลต โคโลราโดแล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่า แบรนด์
เชฟโรเลตสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้เป็นผลสำเร็จ จนทำให้เชฟโรเลต มียอดจำหน่ายในทุกกลุ่มตลาดรวมกัน ก้าวขึ้นจากอันดับที่ 12 ในปี 2002 มาสู่อันดับที่ 5 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จอย่างงดงามในประเทศไทยเท่านั้น จีเอ็มยังสร้างสถิติบรรลุถึงเป้าหมายยอดขายในประเทศภูมิภาคอาเซียนตลอดปี 2004 ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทุกประเทศเหล่านี้ ส่งผลให้ เชฟโรเลตกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้

จีเอ็มทำตลาดรถยนต์ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้แบรนด์อเมริกันแท้ ๆ อย่าง เชฟโรเลต ซึ่งได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวเอเซียเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านคุณภาพ ความแข็งแรงทนทานคุ้มราคา คุณภาพที่เชื่อถือได้ และบริการหลังการขายที่ใส่ใจ ความต้องการของคนเอเซียเป็นพิเศษ

“การตอบรับที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวเอเซียอันหลากหลายที่มีต่อแบรนด์เชฟโรเลต ช่วยให้ยอดขายของเราบรรลุเกินกว่าเป้าหมายสูงสุดที่ได้วางเอาไว้ และเรายังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกว่าแนวโน้มดังกล่าวจะลดลงแต่อย่างใด ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน” มร.บอทวิคกล่าว

จีเอ็มมีแผนยกระดับ ศูนย์การผลิตมาตรฐานระดับโลกของจีเอ็ม ที่นิคมอุตสาหกรรมอิสต์เทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง ด้วยการปรับปรุงกำลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าชาวไทย เช่นเดียวกับตลาดในภูมิภาคอาเซียนและในภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก ปัจจุบัน ศูนย์การผลิตที่จังหวัดระยองซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2000 มีกำลังการผลิตที่ระดับ 92,000 คันในปี 2004

“รถยนต์ของเราถูกขายออกไปทันทีที่เคลื่อนออกจากสายการผลิต และเราได้เดินเครื่องสายการผลิตของเราจนเต็มความสามารถที่มีอยู่” มร.บอทวิคกล่าวเพิ่มเติมว่า “การลงทุนเพิ่มเติมอีก 50-75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2006 จะช่วยให้เราสามารถขยายกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการนำรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มาขึ้นสายการผลิต ณ ศูนย์การผลิตของเราที่จังหวัดระยองอีกด้วย”

ขณะเดียวกันเชฟโรเลตยังคงเดินหน้าแต่งตั้งผู้จำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มากกว่า 100 แห่งในปีหน้า เพื่อขยายการบริการลูกค้าเชฟโรเลต ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ