แอสคอน เคาะขายไอพีโอ 4.2 บาท พร้อมเข้าเทรด 21 ธ.ค. นี้

นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 4.2 บาท เปิดจองซื้อในระหว่างวันที่ 7 – 9 ธ.ค.นี้ และเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรกในวันที่ 21 ธ.ค. 2548 ในหมวด รับเหมาก่อสร้าง และใช้ชื่อ ASCON ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้บริษัทฯได้มอบหมายให้บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ โดยจะร่วมกับสถาบันการเงินอีก 7 แห่ง ได้แก่ บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัท หลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด และ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

ส่วนวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างจำนวน 20 ล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง และโกดังเก็บวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างจำนวน 50 ล้านบาท ซื้อสินค้าและอุปกรณ์สำหรับธุรกิจเทรดดิ้ง เพื่อมาเก็บสต๊อกไว้รอจำหน่าย 20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือบริษัทฯจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในโครงการรับเหมาก่อสร้าง

นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2548 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 568 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 125%

“การปรับตัวเพิ่มขึ้นของผลประกอบการในงวด 9 เดือน ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับรายได้รวมของบริษัทฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 214 ล้านบาท ในปี 2546 เป็น 294 ล้านบาทในปี 2547 อีกทั้งเรายังมีงานที่อยู่ในมือ จำนวน 2,700 ล้านบาท ที่เรารับรู้ไปแล้วประมาณ 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะรับรู้หมดภายในประมาณกลางปี 2550 ส่วนในกลุ่มเทรดดิ้งเรามุ่งเน้นการเติบโตอย่างสม่ำเสมอทุกปี ประมาณไม่น้อยกว่า 15 –20 %“ นายพัฒนพงษ์ กล่าว

สำหรับทิศทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทแอสคอนฯ เชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจเทรดดิ้ง ซึ่งจำหน่ายและให้บริการสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทมีฐานะการเงินที่ดี มีความพร้อมด้านทีมงาน เงินทุน และพันธมิตรทางธุรกิจที่มีเครือข่ายครอบคลุมลูกค้ามากมายโดยเฉพาะกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงลูกค้าในต่างประเทศที่กลุ่มพันธมิตรไปลงทุน โดยกลุ่มวิไลลักษณ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มบริษัท สามารถฯ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแอสคอน ได้ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เช่นมาเลเซีย กัมพูชา ลาว เป็นต้น จึงเป็นการช่วยเปิดโอกาสให้แอสคอน เข้าไปรับงานในประเทศเหล่านี้ได้ ทำให้มีช่องทางและ ศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัท มีนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้างและแรงงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างกำไรในระดับที่สูง

“ธุรกิจทั้ง 2 สายของกลุ่มแอสคอน ถือเป็นธุรกิจที่เสริมกัน ส่งผลให้รายได้ของทั้งกลุ่มมีเสถียรภาพ มีฐานะทางการเงินที่ดี ไม่มีหนี้สินระยะยาว และมีความพร้อมด้านเงินทุน ที่จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการเข้ารับงานรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ได้ในอนาคต” นายพัฒนพงษ์ กล่าว

อนึ่ง บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อปี 2541 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 10 ล้านบาท ต่อมาในเดือน ธันวาคม 2547 เพิ่มทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว 150 ล้านบาท เดิมชื่อ บริษัท เอเอสซี เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้าง และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าทางด้านอุตสาหกรรมอย่างครบครัน โดยเป็นธุรกิจเดิมของกลุ่มตนุมัธยาซึ่งเป็นผู้บริหาร และเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีสัดส่วน ใกล้เคียงกับกลุ่มวิไลลักษณ์ในปัจจุบัน

ปัจจุบันกลุ่มบริษัท แอสคอนฯ ประกอบธุรกิจหลัก 2 ส่วน คือ

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทฯ และธุรกิจจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับเครื่องจักร อุปกรณ์ และอะไหล่ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทย่อยทั้งสาม ที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99 ได้แก่

1) บริษัท แอสคอน คอมเพรสเซอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่าย และให้บริการสินค้าประเภท เครื่องอัดอากาศ เครื่องดูดสุญญากาศ เครื่องทำลมแห้ง และตัวกรองลมยี่ห้อ “Quincy” ซึ่งเป็นผู้ผลิตหนึ่งใน 2 รายใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท เช่น โรงงานเหล็ก ปิโตรเคมี ปูนซิเมนต์ ประกอบรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น

2) บริษัท แอสคอน โปรซีล จำกัด ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่าย และให้บริการสินค้าประเภทซีลกันรั่ว ปะเก็นแผ่น ปะเก็นเส้น ปะเก็นโลหะ ออยซีล และโอริง ยี่ห้อ “Garlock” ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โรงงานปิโตรเคมี โรงงานไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน โรงเหล็ก โรงกระดาษเป็นต้น

3) บริษัท แอสคอน แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมหลากหลาย และเน้นด้านงานบริการสำหรับงานด้านโรงงานอุตสาหกรรม