โมเล็กซ์รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปีงบการเงิน 2549 มีรายรับและยอดสั่งซื้อสูงเป็นประวัติการณ์

ไลเซล, อิลลินอยส์–(บิสิเนสไวร์)— บริษัทโมเล็กซ์ อินคอร์ปอเรเต็ด (NASDAQ:MOLX, NASDAQ:MOLXA)ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคระดับโลก รายงานในวันนี้ว่า บริษัทมีรายรับและยอดสั่งซื้อสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2 ที่สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2548 นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2549 ด้วย

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2
ในไตรมาส 2 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2548 บริษัทมีรายรับสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 697.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.0% จากช่วงเดียวกันของปีงบการเงินก่อน โดยรายรับในรูปสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 8.5% ขณะที่การแปลงค่าเงินทำให้รายรับสุทธิลดลงประมาณ 9.9 ล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ส่วนรายรับในไตรมาส 2 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2548 เพิ่มขึ้น 5.7% จากไตรมาสแรกงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ธ.ค. 2548

รายได้สุทธิสำหรับไตรมาส 2 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2548 อยู่ที่ 58.5 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.31 ดอลลาร์ต่อหุ้น เทียบกับ 52.2 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.27 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ บริษัทได้รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างจำนวน 6.5 ล้านดอลลาร์ (5.0 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษีหรือประมาณ 0.03 ดอลลาร์ต่อหุ้น) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการการปรับโครงสร้างที่บริษัทประกาศออกมาก่อนหน้านี้

รายรับในตลาดโทรศัพท์มือถืออยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก และเพิ่มขึ้น 20% เทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับไตรมาสแรก ขณะที่รายรับในตลาดผู้บริโภคก็อยู่ในระดับแข็งแกร่งเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสแรก ส่วนรายรับในตลาดยานยนต์เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสแรก สำหรับรายรับในตลาดผลิตภัณฑ์ข้อมูลและอุตสาหกรรมไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเทียบกับไตรมาสแรก

รายรับในภูมิภาคตะวันออกไกลตอนใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท อยู่ที่ 235 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 2 ของปีก่อนในรูปสกุลดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 15% เช่นกันในรูปสกุลเงินท้องถิ่น ส่วนในภูมิภาคตะวันออกไกลตอนเหนือ (ญี่ปุ่นและเกาหลี) มีรายรับ 130 ล้านดอลลาร์ ลดลง 3%ในรูปสกุลดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2% ในรูปสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับในภูมิภาคอเมริกา มีรายรับ 198 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี ส่วนในยุโรป มีรายรับ 117 ล้านดอลลาร์ ลดลง 9% ในรูปสกุลดอลลาร์ และ 3% ในรูปสกุลเงินท้องถิ่นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ค่าใช้จ่ายของฝ่ายขาย, ทั่วไปและธุรกิจ (SG&A) อยู่ที่ 159.8 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสงวดสิ้นสุดเดือนธ.ค. เทียบกับ 153.8 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 161.4 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2548 โดยค่าใช้จ่าย SG&A รวมถึงการลดลง 2.7 ล้านดอลลาร์ (1.9 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษี หรือราว 0.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น) อันเนื่องมาจากการนับรวมบัญชีลูกหนี้ที่บริษัทได้ตั้งสำรองไว้สำหรับไตรมาสงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2548 ค่าใช้จ่าย SG&A ยังรวมถึงผลกระทบจากการใช้แถลงการณ์ข้อที่ 123(R) เรื่องการชำระโดยอิงตามหุ้นของคณะกรรมการมาตรฐานการเงินการบัญชี (Financial Accounting Standards Board) ซึ่งทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านดอลลาร์ (2.1 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษี หรือประมาณ 0.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น)

อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 28.5% ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำครั้งก่อน แต่ก็สูงกว่าอัตราภาษี 27.0% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อันมีสาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของผลประกอบการของประเทศ

นายมาร์ติน พี.สลาร์ค ซีอีโอและรองประธานกล่าวว่า “เรารู้สึกพอใจอย่างยิ่งกับผลประกอบการงวดไตรมาสสิ้นสุดเดือนธ.ค.ของเรา ตลาดโทรศัพท์ มือถือและตลาดผู้บริโภคอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมากและมีผลบวกต่อการเพิ่มขึ้นของรายรับและการปรับตัวดีขึ้นของผลกำไรของเรา การขยายตัวของตลาดเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันส่วนหนึ่งจากผลิตภัณฑ์และรูปแบบใหม่ๆของเราที่ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตชั้นนำ ในภูมิภาคอเมริกา เราพอใจกับการขยายตัวในตลาดจัดจำหน่ายและตลาดอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ทางการแพทย์ ขณะที่ตลาดยานยนต์ก็มีการเติบโตเนื่องจากการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ”

นายสลาร์คกล่าวต่อไปว่า “ความพยายามปรับโครงสร้างของเราก็กำลังคืบหน้าต่อไป เราพอใจกับอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 0.40 % จากไตรมาสก่อน แม้ประสบกับปัญหาต้นทุนวัตถุดิบก็ตาม ขณะที่มีการดำเนินมาตรการริเริ่มด้านการบริหารจัดการหลายมาตรการโดยมีจุดประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์แต่ละตัว และขณะที่การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายรับที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีกำไรมากขึ้นของเรา แต่เราก็เชื่อว่า ความพยายามภายในของเรากำลังได้ผลและมีส่วนทำให้เกิดการปรับตัวดีขึ้น”

สำหรับเงินสดและหลักทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้มีมูลค่า 419.8 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2548 เทียบกับ 423.2 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2548 และ 412.0 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2547 โดยในระหว่างไตรมาสงวดสิ้นสุดเดือนธ.ค. บริษัทได้ใช้เงิน 45.0 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อคืนหุ้นสามัญตามรายละเอียด ที่จะแจกแจงในลำดับต่อไป

ยอดสั่งซื้อใหม่และยอดสั่งซื้อในมือ
ยอดสั่งซื้อสำหรับไตรมาส 2 มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 703.4 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสแรกงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2548 ขณะที่ยอดสั่งซื้อในมือ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2548 อยู่ที่ 297.5 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 285.7 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2547 โดยยอดสั่งซื้อในไตรมาสงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2548 เพิ่มขึ้น 3.3% จาก 288.0 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2548

งบรายจ่ายเพื่อการวิจัยและการพัฒนาและการใช้จ่ายด้านทุน
งบรายจ่ายด้านการวิจัยและการพัฒนาสำหรับไตรมาสสิ้นสุดเดือนธ.ค.อยู่ที่ 35.7 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 34.5 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนการใช้จ่ายด้านทุนอยู่ที่ 6.69 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสิ้นสุดเดือนธ.ค. เทียบกับ 56.9 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่าใช้จ่ายของค่าเสื่อมอยู่ที่ 52.1 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 58.3 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีงบการเงินที่แล้ว

ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือน
ในรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2548 บริษัทมีรายรับ 1.36 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.0% จากช่วงเดียวกันของปีงบการเงินก่อน ส่วนรายได้สุทธิอยู่ที่ 105.2 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.56 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 0.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 104.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.55 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยในผลการดำเนินของปีงบการเงินปัจจุบัน บริษัทได้รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างจำนวน 11.4 ล้านดอลลาร์ (8.7 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษีหรือราว 0.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น) ซึ่งเกี่ยวกับโครงการปรับโครงสร้างที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ และในรอบ 6 เดือน การแปลงค่าเงินแทบไม่มีผลกระทบต่อรายรับ แต่ก็ทำให้รายได้สุทธิลดลง 1.6 ล้านดอลลาร์

แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 งวดสิ้นสุดเดือนมี.ค. 2549 และปีงบการเงิน 2549
บริษัทคาดว่า รายรับในไตรมาส 3 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2549 จะอยู่ในช่วง 690-710 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 12-15 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทคาดว่า กำไรต่อหุ้นจะอยู่ในช่วง 0.28-0.30 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17-25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบการเงินก่อน โดยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวรวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่คาดว่าจะมีมูลค่า 4.5 ล้านดอลลาร์ (3.5 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษี หรือราว 0.02 ดอลลาร์ต่อหุ้น) ซึ่งเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างที่ประกาศไปก่อนหน้านี้

บริษัทคาดว่า ในรอบปีงบการเงินที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2549 จะมีรายรับในช่วง 2.725-2.800 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.675-2.750 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์รายรับดังกล่าว จึงคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอู่ในช่วง 1.15-1.19 ดอลลาร์ เทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1.07-1.12 ดอลลาร์ โดยการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างราว 20.0 ล้านดอลลาร์ (15.0 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษี หรือราว 0.08 ดอลลาร์ต่อหุ้น)

บริษัทคาดว่า การใช้จ่ายด้านทุนสำหรับปีงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2549 จะอยู่ในช่วง 240-250 ล้านดอลลาร์ เทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 220-240 ล้านดอลลาร์ โดยค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวจะเน้นนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีกำลังการผลิตจำกัด เช่นอุปกรณ์เชื่อมต่อ micro-miniature board-to-board connector และหน่วยความจำ flash memory card socket

การดำเนินการซื้อคืนหุ้น
ในไตรมาสสิ้นสุดเดือนธ.ค. บริษัทได้ซื้อคืนหุ้นสามัญชั้น A (MOLXA)จำนวน 1,230,000 หุ้น และหุ้นสามัญ (MOLX) 480,000 หุ้นคิดเป็นมูลค่ารวม 45 ล้านดอลลาร์ โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการซื้อคืนหุ้นสามัญคิดเป็นมุลค่ารวมกันไม่เกิน 250 ล้านดอลลาร์จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2548 ยังมีวงเงินเหลืออยู่ประมาณ 120 ล้านดอลลาร์ภายใต้การอนุมัติในปัจจุบัน