มั่นคงฯ โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ

ประกาศรายได้ปี 48 โตตามเป้า รับรู้รายได้การขาย 2,283.18 ล้าน คิดเป็นอัตราการเติบโต 38.92% จากปี 47 โชว์กำไรโต 59.25% ประกาศย้ำฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง หนี้สินต่อทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำปี 2548 ว่า บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายรวม 2,283.18 ล้านบาท เติบโตจากปี 2547 ถึง 38.92% ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและราคาน้ำมันก็สูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงการที่ลูกค้ามีการตอบรับในโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ เป็นอย่างดี โดยรายได้หลักๆ มาจากโครงการชวนชื่นแคราย, ชวนชื่นปิ่นเกล้า, ชวนชื่นแจ้งวัฒนะ, ชวนชื่นวัชรพล และเรสซิเด้นซ์พาร์ค (ชวนชื่นซิตี้)

สำหรับกำไรเบื้องต้นเติบโต 31.14% จากปี 2547 คิดเป็นเงิน 919.16 ล้านบาท โดยอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) เท่ากับ 40.26% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 19.41% หรือคิดเป็นเงิน 56 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมโอนที่สูงขึ้นตามรายได้ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นตามยอดขาย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร

นอกจากนั้นรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นมากอีกประการหนึ่งคือภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งบริษัทฯ ชำระเพียง 8.28 ล้านบาทในปี 2547 เนื่องจากยังใช้สิทธิจากยอดขาดทุนสะสมที่ยกมา ในขณะที่ปี 2548 บริษัทฯ ต้องชำระในอัตราปกติคิดเป็นเงิน 168.43 ล้านบาท

ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยถึงผลกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 2548 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรเติบโตสูงขึ้นจากปีที่ผ่านเล็กน้อย คือ 459.15 ล้านบาท จาก 444.1 ล้านบาท ในปี 2547 โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างหนี้) อยู่ที่ 19.36% กำไรต่อหุ้น (EPS) 0.53 บาท เมื่อรวมผลกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทฯ จึงมีกำไรสุทธิ 713.73 ล้านบาท (0.82 บาทต่อหุ้น) เติบโต 59.25% จากปีที่ผ่านมา

ทางด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลงตามลำดับ จาก 1.09 เท่า ในปี 2546 เป็น 0.87 เท่า ในปี 2547 และเป็น 0.57 เท่า ณ สิ้นปี 2548 อันเป็นผลจากกำไรที่เพิ่มขึ้นและการชำระคืนหนี้ ซึ่งจากการที่หนี้สินลดลงจาก 3,179.01 ล้านบาท เป็น 2,421.50 ล้านบาท ยังได้ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 38.26 ล้านบาท เป็น 26.62 ล้านบาทอีกด้วย

ทั้งนี้ในปี 2549 บริษัทฯ มีแผนงานในการเปิดโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,600 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการจะเน้นในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพไม่ว่าจะเป็น สุวรรณภูมิ, วงแหวนรอบนอก, เพชรเกษม, รามอินทรา, ปิ่นเกล้า และศรีนครินทร์ – เทพารักษ์ เป็นต้น จึงคาดว่ารายได้จะเติบโต 20-25% จากปี 2548