บุหรี่ใบจาก : เบียดตลาดบุหรี่โรงงาน…ปี’49 นำเข้าใบจากพุ่งกว่า 30%

ในปัจจุบันบุหรี่ใบจากหรือบุหรี่มวนเองกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากบุหรี่มวนเองมีราคาถูกกว่าบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานมาก และมีการปรุงใบยาให้มีกลิ่นต่างๆ ตามความนิยมของผู้บริโภค ซึ่งในบางครั้งมีการนำเอายาเส้นสำหรับบรรจุไปป์มาผสมเพื่อให้มีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น โดยบุหรี่มวนเองนั้นทำจากวัสดุใช้แทนกระดาษหลากหลายชนิด เช่น ใบจาก ใบตอง กลีบบัว กาบหมาก ใบมะกา ใบชุมเห็ด เป็นต้น อย่างไรก็ตามใบจากนั้นนับว่าเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งในลักษณะแยกเฉพาะใบจากและยาเส้น และบุหรี่ใบจากที่มวนสำเร็จ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้ที่สูบบุหรี่ของไทยบางส่วนไม่ได้ลดปริมาณการสูบบุหรี่ แต่หันไปสูบบุหรี่มวนเองทดแทน เนื่องจากราคาถูก และคิดว่าไม่มีอันตรายเท่ากับการสูบบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงาน ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข นอกจากนี้ในปัจจุบันความนิยมบุหรี่ใบจากที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าใบจากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 มีการนำเข้าใบจากมวนบุหรี่ 418 ตัน มูลค่า 1.62 ล้านบาท ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.5 และ 38.2 ตามลำดับ และตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าใบจากมวนบุหรี่อยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง เท่ากับว่านอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนไทยแล้ว การสูบบุหรี่ใบจากยังทำให้ไทยต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ใบจากที่นำมามวนบุหรี่นั้นคือ ใบอ่อนซึ่งได้มาจากยอดต้นจากใช้ห่อหรือมวนยาเส้นพันธุ์พื้นเมืองเป็นบุหรี่สูบของชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ยาสูบใบจาก” ในท้องถิ่นภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศที่มีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมต่อการเจริญงอกงามของต้นจาก ทำให้ใบจากหาได้ง่ายในท้องถิ่นจึงได้เกิดความนิยมนำเอาใบจากอ่อนมามวนบุหรี่สูบ เพราะมีคุณสมบัติดีกว่าในพืชชนิดอื่น (เช่น ใบตองแห้ง ใบยา เยื่อบางด้านในของกาบหมาก) ครั้นต่อมาจนถึงปัจจุบันความนิยมได้แพร่หลายสู่ชาวบ้านที่เป็นนักสูบบุหรี่ ใบจากจึงได้กลายเป็นสินค้าทำรายได้ให้แก่ผู้ผลิตเป็นอย่างมาก

วิธีทำใบจากสำหรับมวนบุหรี่นั้นจะใช้วิธีการเลือกยอดจากที่ใบยังห่อตัวไม่แผ่ออก ตัดออกจากกอ สับใบออกจากยอด เริ่มจากโคนยอดไปหาปลายยอด สับครั้งหนึ่งดึงใบออกใบหนึ่ง จนกระทั่งเกือบถึงปลายยอดจึงหยุด เพราะปลายยอดใบสั้นเล็กขาดคุณภาพ เอาใบจากอ่อนที่ได้แล้วตากแดด หลังจากนั้นมีวิธีทำอยู่ 2 วิธีคือ

วิธีแรก ตากจนแห้ง ถ้าแดดดีใช้เวลาประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นเก็บไว้เป็นมัดๆ พร้อมที่จะใช้การได้ทันที โดยส่งเป็นสินค้าไปจำหน่ายก่อนที่ผู้ใช้จะใช้ต้องลอกเจียะออก(เยื่อบางๆ ที่ปิดอยู่บนหน้าใบซึ่งสังเกตเห็นได้ชัด) เนื่องจากเจียะนั้นบางเกินไป ทำให้ติดไฟเร็ว คงใช้แต่ตัวใบที่ลอกเจียะออกแล้ว นำมาตัดเป็นท่อนยาวขนาด 3 นิ้ว พอๆ กับความยาวของมวนบุหรี่ก้นกรอง กระจายเส้นยาเส้นลงบนนั้นมวนให้เป็นรูปทรงกรวย ก็เป็นยาใบจาก 1 มวนจุดสูบได้ ถ้าในกรณีจากใบเล็กห่อเส้นยาไม่มิดก็ใช้วิธีซ้อนใบจาก 2 ใบ ให้เหลื่อมกันเล็กน้อยเพื่อช่วยทำให้ใบใหญ่ขึ้น สามารถมวนได้สะดวกเหมือนกับใบเดียว

ส่วนวิธีที่สอง นำใบจากอ่อนตากแดดเหมือนกับวิธีแรก แต่ไม่ตากให้แห้ง ถ้าแดดดีใช้เวลาตากประมาณ 2 ชั่วโมงก็พอ แล้วนำมาลอก ใบจากอ่อนมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าเป็นใบที่ยังสดลอกได้ยาก จึงต้องตากแดดดังกล่าว การลอกก็จะง่ายและทำได้รวดเร็วมาก การลอกวิธีนี้เริ่มต้นจากการใช้นิ้วมือแกะด้านหัวใบออกเป็น 2 ซีก แต่ละซีกติดทั้งเจียะผสมกับเส้นใยในใบใช้มือจับมือละซีก แล้วดึงให้แยกออกจากกันโดยเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่ถึงวินาทีต่อ 1 ใบ วิธีนี้จะได้ใบจากเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ส่วนที่ได้ค่อนข้างบางกว่าการลอกวิธีแรก นำใบจากส่วนที่ลอกได้แล้วนี้ผูกมัดรวมกันห้อยไว้ในร่มแบบตากอากาศหรือนำไปตากแดดก็ได้ ซึ่งจะทำให้แห้งเร็วขึ้น การลอกวิธีนี้เมื่อตากแห้งแล้ว จะทำให้ใบแต่ละใบที่ได้ห่อตัวเองตลอดใบ มีลักษณะเหมือนบุหรี่ที่ม้วนแล้วจึงเอามาตัดเป็นชิ้นสั้นๆ ให้มีขนาดพอๆ กับความยาวของบุหรี่ 1 มวนแล้วมัดรวมกันเป็นมัดๆ มีจำนวนประมาณมัดละ 100 ชิ้น จำหน่ายกันเป็นมัดๆ แล้วแต่ราคาที่กำหนด ผู้ผลิตใบจากมวนบุหรี่จึงต้องคำนึงถึงเรื่องการตากเป็นอย่างมาก คือต้องตากให้แห้งสนิท มิฉะนั้นจะขึ้นราและสีของใบจะไม่ขาวนวล ทำให้ขาดคุณภาพ

ซึ่งผลดีผลเสียของการลอกใบจากมวนบุหรี่ทั้ง 2 วิธีนั้น วิธีแรกผู้ใช้จะต้องนำไปลอกเองทุกครั้งที่ใช้ ใบที่ลอกแล้วจะมีความหนามากกว่า แล้วตัดให้มีความยาวเท่ากับความยาวของบุหรี่มวน ส่วนการลอกวิธีที่ 2 ได้ใบจากบาง ก่อนจะใช้ต้องรีดเป็นแผ่นเรียบเสียก่อนแล้วจึงกระจายเส้นยา มวนกลับเข้าไปใหม่ทำให้เสียเวลาในการใช้งาน

ปัจจุบันการผลิตใบจากเพื่อมวนบุหรี่นั้นจัดเป็นอุตสาหกรรมในระดับครัวเรือน ซึ่งยังไม่มีการรวบรวมจำนวนและปริมาณการผลิตไว้ แต่การผลิตใบจากเพื่อมวนบุหรี่ในบางท้องที่มีการบันทึกเป็นสินค้าโอท็อป เช่นที่จังหวัดกระบี่ เป็นต้น ส่วนใบยาท้องถิ่นนั้นมีการผลิตมากทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกใบยาสูบที่สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตามถ้าจะประมาณมูลค่าของธุรกิจการผลิตใบจากเพื่อมวนบุหรี่ของแต่ละครัวเรือนนั้นน่าจะใกล้เคียงกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตใบจากมวนบุหรี่ที่สำคัญของภูมิภาคนี้ โดยครัวเรือนที่ผลิตใบจากเพื่อมวนบุหรี่นั้นมียอดจำหน่ายเฉลี่ย 200 กิโลกรัมต่อครัวเรือนต่อเดือน ราคาจำหน่ายเฉลี่ยประมาณ 53 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อ 100 กิโลกรัม ส่วนราคายาเส้นชั้นดี โดยเฉพาะเมื่อผ่านกระบวนการบ่มแล้วนำมาหั่นฝอยนั้นจะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 300 บาท แต่ถ้าผ่านการผสมน้ำผึ้งหรืออย่างอื่น และยิ่งเป็นการบ่มข้ามปีในไหหรือภาชนะต่างๆ นั้นจะอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 350 บาท ทั้งนี้เพราะเป็นการรักษาคุณภาพของยาให้ดีมากขึ้นมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง ซึ่งถือว่าเป็นยาเส้นชั้นหนึ่ง

จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ที่สูบบุหรี่ของไทยพบว่าบุหรี่ที่สูบแยกเป็นร้อยละ 50.0 เป็นบุหรี่มวนเอง ร้อยละ 46.2 เป็นบุหรี่ผลิตในประเทศ และที่เหลือร้อยละ 3.8 เป็นบุหรี่ที่ผลิตจากต่างประเทศ บุหรี่ใบจากเป็นหนึ่งในบุหรี่มวนเองซึ่งเป็นบุหรี่ยอดนิยมตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณตากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่โรงงาน ทำให้ราคาบุหรี่โรงงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ค่าครองชีพก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผู้ที่ติดบุหรี่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปโดยหันไปสูบบุหรี่มวนเองมากขึ้น โดยเฉพาะบุหรี่ใบจาก เพราะหาได้ง่ายในท้องถิ่นและมีราคาถูกกว่าบุหรี่โรงงาน นอกจากนี้ผู้สูบบางรายซื้อยาไปป์ หรือยาเส้นสำหรับสูบไปป์ที่มีกลิ่นหลากหลาย เช่น สตรอเบอร์รี่ เชอรี่ ช็อกโกแลต กลิ่นผลไม้ต่างๆ กลิ่นดอกไม้ เป็นต้น ตามแต่จะเลือกมาเป็นหัวเชื้อผสมรวมกับยาเส้นพื้นเมือง ทำให้เมื่อสูบแล้วกลิ่นควันจะหอมตามกลิ่นของยาไปป์ รวมทั้งผู้ผลิตยาเส้นพื้นเมืองสำหรับสูบกับบุหรี่ใบจากมีการพัฒนาสูตรยาเส้นให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผสมน้ำผึ้ง ผสมเหล้าขาว เป็นต้น

แม้ว่าในปัจจุบันการรณรงค์งดสูบบุหรี่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง รวมทั้งการขึ้นภาษีบุหรี่และภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ปริมาณการสูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้สูบบุหรี่บางกลุ่มยังคงไม่ลดการสูบบุหรี่ เพียงแต่เปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ โดยหันไปสูบบุหรี่มวนเอง ซึ่งเป็นบุหรี่ท้องถิ่น เนื่องจากมีราคาถูกกว่ามาก กล่าวคือ ใบจากมีราคาเพียงมัดละ 2-3 บาท หากนำมามวนเป็นบุหรี่จะได้ประมาณ 20-30 มวน และถ้ามียาเส้นมาพร้อมกับใบจากก็จะอยู่ที่ประมาณซองละ 3 บาท แตกต่างกับราคาบุหรี่ปัจจุบันยี่ห้อไทยซองละ 42 บาท ส่วนยี่ห้อนอกราคา 47 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ในบางท้องถิ่นยังมีให้เลือกหลายรสชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของยาเส้นที่นำมามวน เช่น สตรอเบอร์รี่ เชอรี่ ช็อกโกแลต กลิ่นผลไม้ต่างๆ รวมทั้งกลิ่นดอกไม้ เป็นต้น ตามแต่จะเลือกมาเป็นหัวเชื้อรวมกับยาเส้นปกติ

ปัจจุบันผู้ที่สูบบุหรี่มวนเองส่วนใหญ่คิดว่าการสูบบุหรี่มวนเองนั้นนอกจากจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการสูบบุหรี่แล้ว ในส่วนของกลิ่นนั้นไม่น่ารังเกียจเหมือนกับบุหรี่จากโรงงาน เนื่องจากสามารถเลือกกลิ่นได้โดยเลือกประเภทของยาเส้นที่นำมามวน อีกทั้งมีความเชื่อกันว่าคนรุ่นปู่รุ่นตายายไม่เสียชีวิต และไม่เป็นโรคจากการสูบบุหรี่เลย อย่างไรก็ตาม ทางการแพทย์ยืนยันว่าอันตรายจากบุหรี่ชนิดใดก็เหมือนกัน เป็นตัวก่อให้เกิดโรคเหมือนกันมีอันตรายเช่นเดียวกัน การรณรงค์เลิกสูบบุหรี่หรือไม่สูบบุหรี่นั้น ซึ่งหมายรวมครอบคลุมถึงบุหรี่ทุกประเภท การนำเอาควันหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอดระบบทางเดินหายใจนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ กับร่างกายเลย

ประเด็นที่น่าจะช่วยลดปริมาณการสูบบุหรี่มวนเองก็คือ การเก็บภาษีบุหรี่ประเภทบุหรี่มวนเอง เนื่องจากในปัจจุบันบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานต้องเสียภาษีสรรพสามิตสูงถึงร้อยละ 79 โดยน้ำหนัก ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วโดยเฉลี่ยบุหรี่โรงงานต้องเสียภาษีสรรพสามิตประมาณ 14.30 บาทต่อซอง ในขณะที่บุหรี่มวนเองที่ใช้ใบยาท้องถิ่นนั้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเป็นบุหรี่มวนเองที่ใช้ใบยานำเข้านั้นต้องเสียภาษีร้อยละ 0.1 หรือเฉลี่ยประมาณ 0.016 บาทต่อซอง รวมทั้งการบังคับให้บุหรี่มวนเองเข้ามาอยู่ภายใต้ข้อกำหนดต่างๆเช่นเดียวกับบุหรี่โรงงาน เนื่องจากบุหรี่มวนเองไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่จะต้องติดคำเตือนถึงอันตรายต่อสุขภาพ การแสดงส่วนผสมต่างๆ การโฆษณา และการส่งเงินเข้ากองทุนสุขภาพ ซึ่งการดำเนินการทั้งสองอย่างนี้จะทำให้ราคาของบุหรี่มวนเองเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบทางอ้อมให้ผู้สูบบุหรี่ที่หันไปสูบบุหรี่มวนเองลดปริมาณการสูบลง ซึ่งหมายถึงว่าการรณรงค์งดสูบบุหรี่จะประสบความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งด้วย

นอกจากประเด็นในเรื่องอันตรายที่ผู้สูบบุหรี่มองข้ามจากการหันมาสูบบุหรี่ใบจากแทนการสูบบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับใบจากสำหรับมวนบุหรี่ คือ ไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าใบจากสำหรับมวนบุหรี่ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 มีการนำเข้าใบจากมวนบุหรี่ 418 ตัน มูลค่า 1.62 ล้านบาท ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.5 และ 38.2 ตามลำดับ นอกจากนี้ตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าใบจากมวนบุหรี่อยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในปี 2548 ที่ทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้าลดลง เนื่องจากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าประสบปัญหาความแห้งแล้งทำให้ผลผลิตใบจากลดลง แหล่งนำเข้าสำคัญ 3 อันดับแรกของไทยคือ มาเลเซียมีสัดส่วนร้อยละ 58.1 รองลงมาคือ พม่าร้อยละ 21.2 และอินโดนีเซียร้อยละ 14.2 ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากลาว อินเดีย และไอซ์แลนด์ อย่างไรก็ตามไทยก็ส่งออกใบจากสำหรับมวนบุหรี่เช่นเดียวกัน โดยในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี แต่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 นี้ยังไม่มีการส่งออกเลย ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ แหล่งส่งออกสำคัญของไทย 3 อันดับแรก คือ สหรัฐฯมีสัดส่วนร้อยละ 41.4 รองลงมาคือ ฮ่องกงร้อยละ 34.4 และแคนาดาร้อยละ 23.9 ส่วนแหล่งส่งออกที่น่าสนใจคือ ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล และบาห์เรน

ปัจจุบันบุหรี่มวนเองกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากผู้สูบบุหรี่หันมาสูบบุหรี่มวนเองทดแทนบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงาน โดยเฉพาะผู้สูบบุหรี่ในต่างจังหวัด ทั้งนี้เนื่องจากบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานมีราคาแพง และบุหรี่มวนเองนี้ผู้ที่สูบสามารถเปลี่ยนแปลงรสชาติของบุหรี่ได้โดยการปรุงแต่งยาเส้น ทำให้รสชาติของบุหรี่มวนเองนี้มีให้เลือกหลากหลายมากกว่าบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงาน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การรณรงค์งดสูบบุหรี่ได้ผล คือ การเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่มวนเองเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ช่วงห่างระหว่างราคาบุหรี่มวนเองและบุหรี่โรงงานลดลง และการบังคับให้บุหรี่มวนเองต้องเข้ามาอยู่ภายใต้ข้อกำหนดต่างๆเช่นเดียวกับบุหรี่โรงงาน โดยเฉพาะต้องติดคำเตือนถึงอันตรายต่อสุขภาพ การแสดงส่วนผสมต่างๆ การโฆษณา และการส่งเงินเข้ากองทุนสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่ตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่มวนเองเช่นเดียวกับบุหรี่จากโรงงาน ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการสูบบุหรี่มวนเองลดลง และจะทำให้ปริมาณการนำเข้าใบจากสำหรับมวนบุหรี่มีแนวโน้มลดลงด้วย