กสิกรไทยบุกตลาดไทเจาะเอสเอ็มอีสินค้าเกษตร

กสิกรไทยเชื่อสินค้าเกษตรยังสดใส บุกตลาดไทศูนย์กลางสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุด จัดสัมมนาเอสเอ็มอี พร้อมเปิดสาขาให้บริการ มั่นใจผู้ประกอบการในตลาดไทมีศักยภาพโกอินเตอร์ ตั้งเป้าปี 49 จะปล่อยกู้เอสเอ็มอีได้กว่า 3 หมื่นล้าน

นายปกรณ์ พรรธนะแทพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมีเป้าหมายที่จะรุกกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าของธนาคารมากยิ่งขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ กลุ่มเอสเอ็มอีที่ประกอบธุรกิจด้านพืชผลการเกษตร เช่น ผักผลไม้ เนื่องจากเห็นว่า สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ตลาดยังค่อนข้างสดใสอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัวก็ตาม

ธนาคารเล็งเห็นว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งผักและผลไม้ในตลาดไท ซึ่งเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไปเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้นธนาคารฯ จึงได้จัดสัมมนา “ส่องประกาย SME” ในวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายนนี้ เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการธุรกิจค้าสินค้าเกษตรในตลาดไท ที่ต้องการขยายธุรกิจหรือหรือพัฒนาเป็นผู้ส่งออกสินค้าผักและผลไม้ ในยุคที่ตลาดสินค้าเกษตรกำลังเริ่มเปิดกว้างในตลาดต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีผู้ร่วมสัมมนาประมาณ 280 ราย

ทั้งนี้ธนาคารมีบริการที่จะเสนอให้ผู้ประกอบในตลาดไทที่ต้องการขยายธุรกิจ 2 บริการ คือ สินเชื่อเกินหลักทรัพย์ค้ำประกัน (K-Max) สำหรับผู้ประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอ แต่จะสามารถขอสินเชื่อเพิ่มได้ถึง 120% ของมูลค่าหลักประกัน มีประเภทวงเงินกู้ที่หลากหลายตามความจำเป็นของลูกค้าแต่ละราย และสินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Klean Credit) สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่มีหลักประกัน แต่ต้องการเงินทุนใช้หมุนเวียนทางธุรกิจหรือขยายกิจการ โดยจะได้รับวงเงินสูงสุดถึง 4 ล้านบาท และคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ซึ่งช่วยให้เอสเอ็มอีมีต้นทุนการเงินที่ถูกลง

นอกจากนั้นในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ ธนาคารกสิกรไทยจะเปิดสาขาย่อยตลาดไท โดยจะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 7.00-19.00 น. เพื่อให้บริการทางการเงินที่สะดวกรวดเร็วแก่ผู้ประกอบการในตลาดไทมากยิ่งขึ้น

สำหรับในปี 2549 ธนาคารกสิกรไทย ได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีไว้ที่ 30,500 ล้านบาท เพิ่มจากสิ้นปี 2548 ประมาณ 16%