เศรษฐกิจจีนปี 2550 ชะลอตัว : ซ้ำเติมส่งออกไทย

บทนำ
จีนเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลกติดต่อกันมาเป็นเวลาสามทศวรรษ จนทำให้ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสี่ของโลกในปัจจุบัน ปี 2549 นับเป็นปีทองของเศรษฐกิจจีนอีกปีหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากจีนสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงร้อยละ 10.5 ใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.2 ในปี 2548 จนทำให้จีนมี GDP ขนาด 2.55 ล้านล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าประเทศไทยกว่าสิบเท่า

การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการขยายตัวของการบริโภค การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนเติบโตในอัตราก้าวกระโดดทั้งสิ้น ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีปริมาณการค้าระหว่างประเทศมากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และเยอรมนี การเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างรวดเร็วของจีนส่งผลให้การค้าระหว่างไทย-จีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 และแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของไทย และเป็นคู่ค้าหลักที่มีการขยายตัวทางการค้าสูงสุด (เทียบกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์และฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดส่งออก 5 อันดับแรกของไทย)

ภาวะเศรษฐกิจของจีนในปี 2550 จึงมีความสำคัญไม่เพียงต่อจีนเอง แต่ยังมีนัยสำคัญต่อภาวะทางการค้าและเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยรวมด้วย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เศรษฐกิจจีนปี 2550 จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0-9.5 ชะลอตัวลงจากปี 2549 และการส่งออกจะขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 15.0-17.0 ซึ่งจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากไทยหลายชนิดขยายตัวในอัตราที่ลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเม็ดพลาสติก ส่วนการนำเข้าของไทยจากจีนจะขยายตัวต่อเนื่องในสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผักและผลไม้ และอาจชะลอตัวลงสำหรับสินค้ากลุ่มเหล็ก สินแร่โลหะ แผงวงจรไฟฟ้า หลอดภาพโทรทัศน์ เครื่องจักรกล และเครื่องจักรไฟฟ้า

เศรษฐกิจจีนปี 2549-2550
ในช่วงสองไตรมาสแรกของปี 2549 เศรษฐกิจจีนเติบโตสูงถึงร้อยละ 10.7 และ 11.3 ตามลำดับ ทางการจีนจึงได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ชะลอตัวลง ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 10.4 ในช่วงไตรมาสที่สาม การเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ ในปี 2549 ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.9 เป็นมูลค่ารวม 969.1 พันล้านดอลลาร์ และการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 22.0 เป็นมูลค่า 791.6 พันล้านดอลลาร์ ทำให้จีนได้เปรียบดุลการค้าถึง 177.5 พันล้านดอลลาร์ กลุ่มสินค้าส่งออกที่มีอัตราการเติบโตสูงได้แก่เสื้อผ้า เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และรองเท้า โดยคู่ค้าหลักของจีนได้แก่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเยอรมนี

สำหรับในปี 2550 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0-9.5 โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ลดลงจากในปี 2549 นอกจากนี้ คาดว่าการส่งออกและการบริโภคในประเทศอาจเติบโตในอัตราที่ลดลงเช่นกัน โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 15.0-17.0 ลดลงจากร้อยละ 24.9 ในปี 2549 แต่การนำเข้าจะขยายตัวต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 20.0-22.0 เนื่องจากค่าเงินหยวนที่แข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม จีนจะยังคงได้เปรียบดุลการค้าจำนวนมากทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.29 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2550 ส่วนยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0-13.0 ใกล้เคียงกับในปี 2549

แนวโน้มการค้าไทย-จีน
การส่งออก-นำเข้าระหว่างไทยกับจีนขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง ในช่วงปี 2547-2549 การส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 25-28 ทุกปี ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2549 ไทยส่งออกสินค้าไปจีนมูลค่า 10,625 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.41 และใกล้เคียงกันกับอัตราการขยายตัวในปี 2548 สินค้าออกหลักของไทยไปจีนในปี 2549 เรียงตามลำดับได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยางพารา เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก แผงวงจรไฟฟ้า น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยางและผลิตภัณฑ์ไม้ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้ง 10 รายการคิดเป็นร้อยละ 72.8 ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของไทยไปจีน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของสินค้าส่งออกอย่างชัดเจนยิ่ง สำหรับสินค้าส่งออกที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วได้แก่ เลนซ์ (ร้อยละ 340) น้ำมันสำเร็จรูป (ร้อยละ 308) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 134)ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 119) วงจรพิมพ์ (ร้อยละ 109) ทองแดง (ร้อยละ 73) แผงวงจรไฟฟ้า (ร้อยละ 63) ข้าว (ร้อยละ 59) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ร้อยละ 37)

ในทางตรงกันข้ามสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มหดตัวและ/หรือขยายตัวลดลงได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า (ร้อยละ -4) เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (ร้อยละ 2) ผลไม้สดและแช่เย็น (ร้อยละ 4) น้ำมันดิบ (ร้อยละ 3) เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (ร้อยละ 7) ผลิตภัณฑ์ไม้ (ร้อยละ 8) ทั้งนี้ เป็นที่น่ากังวลว่าสินค้าส่งออกหลัก 10 อันดับแรกของไทยบางชนิดมีการเติบโตลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ไม้ ซึ่งเหล่านี้เป็นสินค้าที่หาทดแทนได้จากที่อื่นโดยเฉพาะประเทศอาเซียนด้วยกัน คาดว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกำลังส่งผลกระทบทางลบต่อการส่งออกสินค้าดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2550 จะทำให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนอุตสาหกรรมของไทยเพื่อการผลิตสำหรับส่งออกไปประเทศที่สาม เช่น ยุโรปและสหรัฐฯ ชะลอตัวลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเม็ดพลาสติก คาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2550 จะเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20.0-25.0 เทียบกับร้อยละ 27.0-30.0 ในปี 2549

ในด้านการนำเข้า ยอดนำเข้าของไทยจากจีนช่วง 11 เดือนแรกของปี 2549 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 เป็นมูลค่ารวม 12,339.8 ล้านดอลลาร์ แม้จะขยายตัวลดลงจากปี 2548 แต่ก็ถือว่าเป็นการขยายในอัตราสูงยิ่ง เนื่องจากการนำเข้าของไทยโดยรวมจากทั่วโลกขยายตัวเพียงร้อยละ 7.52 เท่านั้นในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2549 สินค้านำเข้าหลักของไทยจากจีนได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ เหล็ก/เหล็กกล้า เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าผืน สินแร่โลหะ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดและแผงวงจรไฟฟ้า โดยสินค้าหลักทั้งสิบรายการมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 73.9 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากจีน

สินค้านำเข้าสำคัญที่มีอัตราการขยายตัวสูงได้แก่ ลวดและเคเบิล (ร้อยละ 70) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช (เพิ่มขึ้นร้อยละ 60) วงจรพิมพ์ (ร้อยละ 40) เครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 38) ผักและผลไม้ (ร้อยละ 32) เครื่องจักรกล (ร้อยละ 31) เครื่องจักรไฟฟ้า (ร้อยละ 31) เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ (ร้อยละ 30) เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าลดลงหรือการขยายตัวลดลงได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า (ร้อยละ -16) หลอดภาพโทรทัศน์ (ร้อยละ -10) ด้ายและเส้นใย (ร้อยละ -8) เหล็ก/เหล็กกล้า (ร้อยละ -4) สำหรับในปี 2550 คาดว่าการนำเข้าของไทยจากจีนยังขยายตัวในอัตราสูงแต่จะเติบโตลดลง เนื่องจากการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยสินค้าประเภทวัตถุดิบและชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมส่งออก เช่น เหล็ก สินแร่โลหะ แผงวงจรไฟฟ้า หลอดภาพโทรทัศน์ เครื่องจักรกล และเครื่องจักรไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม สินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผักและผลไม้ เป็นต้น ยังมีแนวโน้มการขยายตัวได้ดีเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งเมื่อเทียบกับเงินหยวนทำให้ราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาถูก