ธารารมณ์ ฟันธงปีหน้า โลว์ไรส์กลับมา เดินหน้ากลยุทธ์ “3E”

ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ เชื่อปีหน้าความต้องการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์กลับมาแน่ เตรียมพร้อมเดินหน้ารุกเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด รองรับความต้องการของตลาดปัจจุบัน ด้วยกลยุทธ์ “3E (ทริปเปิ้ล อี)”สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า จากภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ คอนโดมิเนียมจะมีกระแสการตอบรับในตลาดเป็นอย่างดี ซึ่งอาจจะนับได้ว่า มียอดขายเติบโตอย่างมากกว่าโครงการแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์ แต่จากการการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ที่เราได้จัดทำนั้น พบว่า ความต้องการบ้านเดี่ยวยังมาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และเท่าที่อ่านงานวิจัยของหลายหน่วยงานก็ตรงกัน ดังนั้น เมื่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่เคยชะลอตัว หรือผู้บริโภคบางรายเก็บเงินไว้ก่อนเพื่อรอจนกว่าจะมั่นใจแล้วค่อยซื้อ เมื่อผู้บริโภคเหล่านี้กลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง กำลังซื้อจึงไหลกลับเข้ามา ประกอบกับการที่เส้นทางการคมนาคมหลายสายได้เปิดให้บริการ เช่น ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ถนนวงแหวนใต้ หรือการเพิ่มส่วนต่อขยายออกไป อย่างทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา การปรับปรุงเส้นทาง เช่น ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนหทัยราษฎร์ ทำให้มีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น อีกทั้งการอนุมัติการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีม่วง และช่วงต่อขยายสายสีเขียว จึงทำให้มั่นใจว่า โครงการแนวราบจะกลับมาเป็นที่สนใจของตลาดอีกครั้ง เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าคอนโดมิเนียม

นายวสันต์ กล่าวต่อถึงผลประกอบการในปี 2550 ของบริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ว่า สำหรับยอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าใน 7 เดือนแรกของปีกำลังซื้อชะลอลงมาก แต่ใน 5 เดือนหลังกำลังซื้อได้ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาด ผนวกกับการกระตุ้นด้วยโปรแกรมส่งเสริมการขายของบริษัท ที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน 4 ทำเล ได้แก่ โครงการพาร์คเวย์ ชาเล่ต์ รามคำแหง โครงการการ์เด้น สวีท ดิ อินดี้ โฮม รามคำแหง โครงการเนเบอร์โฮม วัชรพล และ โครงการพรอเมนาด โฮม พระราม 2 ซอย 47

ในปีนี้ เราได้ดำเนินกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ได้แก่

1. กิจกรรมสัมพันธ์กับลูกค้าในรูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ เช่น การให้ความรู้เรื่องการอยู่อาศัยอย่างพอเพียงและปลอดภัย กิจกรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดี การให้ข้อมูลเรื่องการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ

2. การร่วมมือกันกับคู่ค้าเพื่อมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งความคุ้มค่าคุ้มราคา และความสะดวกสบาย

3. เปิดมิติโปรแกรมการขายใหม่ๆ ในราคาที่พิเศษสุดๆ เช่น Final Sale กลางปี ประมูลบ้าน และ Top of Town ปลายปี

4. สื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อต่างๆ

สำหรับในปีหน้า (2551) ธารารมณ์ตั้งเป้าการขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยยอดขายทั้งหมดจะมาจากโครงการปัจจุบัน และโครงการใหม่ที่ Pre-sale แล้ว 1 โครงการคือ โครงการพาร์คเวย์ เพลส ถนนรามคำแหง ขณะเดียวกัน ก็จะนำผลการวิจัยที่บริษัทฯ ทำอย่างต่อเนื่อง มาเตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาด นายณัฐพล มัททวกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ควรจะคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นหลัก เพราะในปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีความเปลี่ยนแปลงทำให้ธุรกิจจะต้องปรับตัวเข้าหา ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการซื้อ หรือแม้แต่กิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ที่จัดขึ้นจะต้องมีสีสัน และมีความแปลกใหม่ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดกลยุทธ์การตลาด “3E (ทริปเปิล อี)” ได้แก่

1. Experience Marketing – การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในการสัมผัสกับสินค้าและบริการของเรา

2. Expectation Management – การบริหารจัดการความคาดหวังของผู้บริโภค

3. Excitement Modules – การจัดโปรแกรมการส่งเสริมการขาย และการสร้างความสัมพันธ์ต่างๆ ให้มีรูปแบบ สีสันน่าตื่นตาตื่นใจ

ในด้านการสื่อสารการตลาด จะเสริมแรงด้วยการเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่ตรงจุด เข้าถึง และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม ทั้งในรูปแบบของการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และใช้สื่อท้องถิ่น (Localized Media) โดยได้มีการสำรวจการบริโภคสื่อต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นจะนำผลที่ได้มาวางแนวทางในการทำประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

นายวสันต์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ภาวะของอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผ่านวิกฤติมาหลายต่อหลายครั้ง และเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักและเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญเรื่องที่อยู่อาศัยและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นธุรกิจที่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ โดยปัจจุบันมูลค่าทางการก่อสร้างจะอยู่ที่ประมาณ 323,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 6.2% ซึ่งเมื่อเทียบกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเห็นว่า โตมากกว่า แต่ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหลายเรื่อง รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่ยังไม่มีความคืบหน้า จึงอยากขอให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญและมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกจำนวนมาก

สำหรับปี 2551 คาดว่า “การชะลอตัวในธุรกิจที่อยู่อาศัยอาจยังคงดำเนินต่อไปในช่วงต้นปี ภายใต้สภาวการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่มีผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 38 ปี ของบริษัทฯ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งแต่ละโครงการได้รับการตอบรับที่ดีทั้งด้านยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า ทำให้เราเชื่อมั่นว่า ด้วยความเชี่ยวชาญและความตั้งใจจริงของธารารมณ์ จะทำให้เราสามารถเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง” นายวสันต์ กล่าวในที่สุด