“เด็มโก้” ปรับแผนสร้างรายได้ ชูงานขายดันยอดปี 51

เด็มโก้หวังปั๊มรายได้ปีนี้โต 10-20 % หลังปี 50 โชว์งบสวยกวาดรายได้ 2.17 พันล้าน เดินหน้าปรับแผนสร้างรายได้ใหม่ สบช่องยอดขาย One Stop Service เข้าเป้า ประกาศลุยธุรกิจงานขายเต็มที่ พร้อมเตรียมทยอยรับรู้รายได้เจพีเอ็ม ตั้งแต่ไตรมาสสอง

นายประเดช กิตติอิสรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO ผู้นำธุรกิจด้านงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็กสำหรับงานด้านไฟฟ้า โทรคมนาคม และโฆษณาให้กับภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,177 ล้านบาทนั้น สามารถแยกเป็นรายได้จากงานบริการ 1,799.28 ล้านบาท และงานขาย 356.73 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ถึง 60.65 %

ทั้งนี้ การรับรู้รายได้จากงานขายถือว่าเติบโตไปในทิศทางที่ดี ถึงแม้โรงงานหยุดการผลิตในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2550 เพื่อขยายกำลังการผลิตเสาโครงเหล็กจาก 6,000 ตัน เป็น 12,000 ตันก็ตาม โดยเฉพาะงานขายวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าและโทรคมนาคมในโครงการ “ONE STOP SERVICE” ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากในด้านความสะดวก และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน บวกกับความเชื่อมั่นในสินค้ามาตรฐานจากเด็มโก้ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้จากงานขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก

“บริษัทฯ เตรียมขยายผลไปสู่การขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างในส่วนงานด้านโยธาในลำดับต่อไป เพราะมองเห็นโอกาสที่จะขยายออกไป หลังจากที่เราก็มีลูกค้ารับงานด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะไม่เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายเพราะใช้ทีมขายเดียวกัน แต่เพิ่มสินค้าให้ขยายฐานออกไปในลูกค้ากลุ่มอื่นๆ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นติดต่อประสานงานกับตัวแทนจำหน่าย และคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการประมาณเดือนเมษายนนี้” นายประเดชกล่าว

สำหรับงานบริการและงานผลิตเสาโครงเหล็ก ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ นั้น ในขณะนี้ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 1,350 ล้านบาท โดยเป็นงานที่จะทยอยรับรู้รายได้ระหว่างไตรมาส 1-3 ส่วนการยื่นประมูลงานใหม่จะเป็นงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนมูลค่ากำลังเสนอและเตรียมการเสนอราคาประมาณ 3,500 ล้านบาท จะทราบผลในช่วงต้นไตรมาส 2 หรือประมาณภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้

กรรมการผู้จัดการยังกล่าวถึงการรับงานของ บริษัท เจพีเอ็ม อินเตอร์ จำกัด ด้วยว่า ขณะนี้เจพีเอ็มมีงานใหม่เข้ามาแล้วเป็นงานผลิตเหล็กโครงสร้างมูลค่าประมาณ 110 ล้านบาท โดยจะส่งมอบงานแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2551 และได้ทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 1-2/2551 ในส่วนนี้เป็นงานจากลูกค้าต่างประเทศประมาณ 35 ล้านบาท

ในส่วนของราคาเหล็กซึ่งเตรียมที่จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% นั้น นายประเดช กล่าวว่า ยังไม่ส่งผลกระทบในเรื่องต้นทุนการผลิตกับบริษัทฯ มากนัก เนื่องจากมีการสั่งสต็อกไว้ล่วงหน้า ทำให้ยังสามารถใช้ในราคาที่เป็นต้นทุนเดิมอยู่ได้ในงานเก่า อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นจะใช้การประเมินราคาแบบวันต่อวันเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น