บลจ. ทิสโก้ รับเทรนด์กองคอมโมดิตี้มาแรง ออกกองทุนใหม่ลงทุนในธัญพืชโลก

บลจ. ทิสโก้ เตรียมส่งกองทุนใหม่ล่าสุด “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” กองทุน FIF ที่จะเข้าไปลงทุนในสินค้าเกษตร ผ่านกองทุน DB Platinum Agriculture Euro Fund เนื่องจากปัจจุบันสินค้าเกษตรกำลังเป็นการลงทุนทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสัมพันธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงราคากับตลาดหุ้นโลกต่ำ จึงถือเป็นการกระจายการลงทุนใน Asset Class ใหม่ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานเสวนา “เปิดขุมทรัพย์การลงทุนกับสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร” ที่ บลจ. ทิสโก้จัดขึ้น ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น ในวันนี้ว่า จากแนวโน้มปัจจุบันสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรกำลังเป็นการลงทุนทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้บริษัทจึงกำลังเตรียมออกกองทุนใหม่ล่าสุด “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” (TISCO Agriculture Euro Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ประเภทกองทุนรวมผ่านกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund)

โดยกองทุนหลัก (Master Fund) ที่จะเข้าไปลงทุนคือ กองทุน DB Platinum Agriculture Euro Fund ซึ่งจัดตั้งและจดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก บริหารและจัดการโดย DB Platinum Advisors ซึ่งเป็นบริษัทของธนาคารดอยช์แบงก์ในประเทศลักเซมเบิร์ก ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีนโยบายเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทสินค้าเกษตร (Agricultural Commodity) ที่อ้างอิงกับดัชนี db Agriculture Euro Index โดยกองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum Agriculture Euro โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

นายธีรนาถ กล่าวถึงจุดเด่นของกองทุน DB Platinum Agriculture Euro Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่จะเข้าไปลงทุนว่า กองทุนดังกล่าวลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับ db Agriculture Euro Index ซึ่งเป็นดัชนีที่มีผลตอบแทนสูง และมีความผันผวนต่ำ โดยสินค้าเกษตรที่อยู่ใน db Agriculture Euro Index คือ ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย, ฝ้าย, เมล็ดกาแฟ, ถั่วเหลือง และโกโก้ ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรกลุ่มธัญพืชที่มีสภาพคล่องสูงสุด ส่วนน้ำหนักการลงทุนในธัญพืชแต่ละชนิดจะมาจากการวิจัยของ DB commodity research

“กองทุนนี้อ้างอิงกับราคาสินค้าเกษตร ดังนั้นผลการดำเนินงานของกองทุนจะสะท้อนการปรับตัวขึ้นหรือลง ของราคาสินค้าเกษตรโลก ซึ่งมีแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่มีทรัพยากรจำกัด โดยจากการวิจัยของดอยช์แบงก์ พบว่า ความต้องการสินค้าเกษตรประเภทธัญพืช จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.3 พันล้านตันภายในปี 2050

และหากดูผลตอบแทนของ db Agriculture Euro Index ในรอบ 1 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 34.73%, 3 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 64.48% และ 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 73.77% ซึ่งถือว่าสูงและน่าสนใจมาก จึงเป็นโอกาสดีที่ บลจ. ทิสโก้จะเข้าไปลงทุนในสินค้าคอมโมดิตี้ในตลาดโลก ผ่านผู้บริหารกองทุนของกองทุนคอมโมดิตี้รายใหญ่อย่าง DB Platinum Advisors”

นายธีรนาถ กล่าวว่า ข้อดีที่นักลงทุนจะได้รับคือ นักลงทุนที่ส่วนใหญ่ลงทุนใน Asset Class ทั่วไปอย่างหุ้น หรือตราสารหนี้ต่างๆ จะได้มีโอกาสกระจายความเสี่ยงมาลงทุนในสินค้าคอมโมดิตี้ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน จะเห็นได้จากปัจจุบันผู้จัดการกองทุนต่างๆ เริ่มกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้มาลงทุนในสินค้าเกษตร หรือสินค้าคอมโมดิตี้เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นในเวลาที่หุ้นผันผวนจึงควรพิจารณาทางเลือกในการลงทุนนี้

“และที่สำคัญ กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรโดยตรง ไม่ได้ซื้อหุ้นของกลุ่มสินค้าเกษตร เพราะการซื้อหุ้นมีทั้ง Specific Risk เช่น พนักงานประท้วง เครื่องจักรเสีย การบริหารพลาด ฯลฯ และ Market Risk เช่น สภาวะตลาดหุ้นซบเซา หุ้นบริษัทนั้นก็ตก เป็นต้น ดังนั้นการที่กองทุนลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง นักลงทุนก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องหุ้น

นอกจากนี้ กองทุนหลัก (กองทุน DB Platinum Agriculture Euro Fund) ให้ผลตอบแทนในรูปสกุลเงินยูโร ดังนั้นจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนที่อิงกับสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา”

ชี้ “ตลาดธัญพืชโลก” เป็น “ดาวรุ่ง” ของการลงทุน
ทางด้าน นายพิชา รัตนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่สินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร หรือ Soft Commodities กำลังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกมีความต้องการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด

“ปัจจุบันมีการนำพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง รวมถึงธัญพืชอื่นๆ มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น นำมาทำเป็นเอทานอล (Ethanol) ที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) เช่น ไบโอดีเซล หรือ แก๊สโซฮอล์ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้นจึงมีความจำเป็นต้องหาพลังงานทดแทนจากพืช ทำให้สินค้าเกษตรเหล่านี้มีการผลิตไม่พอเพียง

ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ทำให้ความต้องการในการบริโภคขยายตัวตามไปด้วย ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชียเติบโตขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ทำให้ความเป็นอยู่ของประชากรดีขึ้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการบริโภคจากพืช เป็นเนื้อสัตว์ ดังนั้นความต้องการธัญพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันมีการนำธัญพืชไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ถึง 64% ของธัญพืชทั้งหมด โดยกลุ่มธัญพืชที่มีความต้องการมากที่สุดคือข้าวโพด, ข้าวสาลี และข้าวเจ้า”

เขากล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันแนวโน้มในการขยายพื้นที่เพาะปลูกยังทำได้น้อยมาก และมีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากมีการพัฒนาเมือง ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานด้านเกษตรกรรม เพราะมีการย้ายจากภาคเกษตรไปภาคอุตสาหกรรม

“นอกจากนี้ยังมีเรื่องของภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภาวะโลกร้อน ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ขณะที่ความต้องการไม่ลดลง”

เตรียมไอพีโอ “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” ปลายมีนานี้
กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวม จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีกำหนดเสนอขายในปลายเดือนมีนาคมนี้ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท

ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการลดความเสี่ยง (Hedging) ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานกำหนด แต่กองทุนจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured note)

ผู้สนใจลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. ทิสโก้ โทร. 02 633 7351-57 หรือหน่วยลูกค้าสัมพันธ์กองทุนรวม โทร. 02 633 7777 หรือ www.tiscoasset.com