AIT ไม่หวั่นน้ำมันพุ่ง-การเมืองกดดัน มั่นใจปีนี้โกยรายได้ 3 พันล้านตามเป้า

AIT มั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท แม้ราคาน้ำมันแพง เงินเฟ้อพุ่งและสถานการณ์การเมืองกดดัน เดินหน้าลุยงานประมูลใหม่ทั้งภาครัฐ และเอกชนต่อเนื่อง พร้อมเล็งขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่น เดินเกมเจรจาหาพันธมิตรใหม่เสริมศักยภาพธุรกิจ

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผยว่า แม้ว่าในขณะนี้ผู้ประกอบการธุรกิจภาคเอกชนจะต้องเผชิญกับภาวะกดดัน โดยเฉพาะการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 140 เหรียญต่อบาร์เรลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ในส่วนของ AIT ยังคงยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว

“ถ้าพิจารณาถึงปัจจัยลบที่กระทบกับธุรกิจ ก็ต้องบอกว่ามีทั้งเรื่องน้ำมันแพง ต้นทุนผลิตเพิ่ม เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น แต่ปัจจัยเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทฯ เนื่องจากที่ผ่านมาเราได้ปรับราคาขายตามต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ งานส่วนใหญ่ของ AIT ยังอิงอยู่กับภาครัฐ ซึ่งงบลงทุนตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 ได้ผ่านการอนุมัติไปแล้วตั้งแต่ปี 2550 การลงทุนหรือการดำเนินงานของภาครัฐก็จะต้องเดินไปตามแผนอย่างต่อเนื่อง” ประธานกรรมการบริหาร AIT กล่าว

ทั้งนี้ มั่นใจว่า แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะถูกกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่คลายตัว แต่ผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2551 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท จากฐานลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% ที่เป็นภาครัฐ ซึ่งมีการเบิกจ่ายและดำเนินโครงการตามงบประมาณประจำปีอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็เชื่อมั่นว่า ในปีหน้าหรืองบประมาณปี 2552 จะไม่มีการปรับลดงบประมาณด้านไอทีลงอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าการลงทุนด้านไอทีจะช่วยการบริหารจัดการงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2551 บริษัทฯ คาดว่าจะยังคงเติบโตในทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2551 ที่มีรายได้ 1,359 ล้านบาท กำไรสุทธิ 104 ล้านบาท จากการทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีแผนการดำเนินงานในการเข้าไปประมูลงานใหม่ๆ โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าประมูลงานทั้งในส่วนของภาครัฐ และเอกชน รวมถึงรอผลประมูลอีกหลายโครงการ ซึ่งมีความมั่นใจว่าจะสามารถชนะการประมูลจากความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของ AIT ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาด

นอกจากนี้ AIT ยังมีแผนขยายตลาดไปจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติเช่นกลุ่มบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่มาตั้งโรงงานในเมืองไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนโรงงานทั้งหมดกว่า 2,000-3,000 โรงงาน ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ส่วนความคืบหน้าในการเป็นพันธมิตรร่วมกับ บริษัท Sojitz Corporation จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อประกอบธุรกิจด้านบริการบำรุงรักษาเครื่องและระบบสื่อสารสารสนเทศ โดยใช้ชื่อว่า บริษัท เซอร์วิสโปร จำกัด ซึ่ง AIT ถือหุ้นในสัดส่วน 70% นั้นคาดว่าจะสามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังเดินหน้าตามแผนในการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ในการเข้ามาเสริมศักยภาพของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรรายใหม่ 1-2 ราย โดยยังอยู่ในธุรกิจด้านไอที ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้