ครึ่งปีแรก 2551 บริษัทจดทะเบียนกำไรรวมกว่าสามแสนหนึ่งหมื่นล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไรงวด 6 เดือนแรกปี 2551 รวม 312,856 ล้านบาท และมียอดขายรวม 3,796,969 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยมี PTT, PTTEP, TOP, SCC, และSCB เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทจดทะเบียน 474 บริษัท จาก 500 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance: NC) และบริษัทในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group: NPG) มีกำไรสุทธิรวม 312,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 48 โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 388บริษัท และขาดทุนสุทธิ 86 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 82 ต่อ 18 ในขณะที่ผลการดำเนินงานโดยรวมในงวดไตรมาส 2 ปี 2551 มีกำไรสุทธิ 157,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

“ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ งวด 6 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งกำไรสุทธิและยอดขาย แสดงว่าศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมของธุรกิจในประเทศไทย ยังเข้มแข็งและมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางภัทรียากล่าว

สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 252,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 31 ส่วนบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 กำไรสุทธิรวม 233,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 33

สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance: NC) และบริษัทในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group: NPG) จำนวน 453 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 313,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 โดยผลการดำเนินงานเรียงตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดดังนี้

1.กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 131,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 25

2.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 52,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 316

3.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้างและ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 36,381 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8

4. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 31,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 132

5.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 25,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 92

6. กลุ่มบริการ ประกอบด้วยหมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำไรสุทธิ 21,660 ล้านบาท ลดลง จากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6

7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 10,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 164

8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 3,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 36