AIT แกร่งโชว์กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 234 % จากปีก่อน ตอกย้ำความมั่นใจโกยรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท พร้อมใจป้ำแจกปันผลระหว่างกาล 1.25 บาทต่อหุ้น เดินหน้าลุยงานประมูลใหม่ทั้งภาครัฐ และเอกชนต่อเนื่อง
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2551 บริษัทฯ มีรายได้625 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 41.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 345.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 18 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2551 บริษัทฯ มีรายได้ 1,985 ล้านบาท กำไรสุทธิ 146.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 808 ล้านบาท กำไรสุทธิ 57.50 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท จากนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 28สิงหาคม 2551 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 กันยายน 2551
สำหรับรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขงานในมือ (Backlog) ที่สูงถึง 2,000 ล้านบาทในช่วงต้นปี จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2551 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
“รายได้และกำไรไตรมาส 2 ที่ออกมาถือว่าเป็นไปเกินกว่าที่เราคาดไว้ โดยเติบโตขึ้นจากปีก่อน 234 % แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น หรือราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าทั้งปีเรายังจะรักษาเป้ารายได้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาทได้แน่นอน” นายศิริพงษ์กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร AIT กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการเข้าประมูลงานใหม่ๆขณะนี้ก็ยังเดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีความมั่นใจว่าจะสามารถชนะการประมูลจากความเชี่ยวชาญ และศักยภาพของ AIT ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาด
ส่วนความคืบหน้าในการเป็นพันธมิตรร่วมกับ บริษัท Sojitz Corporation จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อประกอบธุรกิจด้านบริการบำรุงรักษาเครื่องและระบบสื่อสารสารสนเทศ โดยใช้ชื่อว่า บริษัท เซอร์วิสโปร จำกัด ซึ่ง AIT ถือหุ้นในสัดส่วน 70% นั้นยังอยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดของสัญญาร่วมทุนซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะสำเร็จได้เมื่อไดเนื่องจากมีข้อต้องเจรจาและขั้นตอนการดำเนินการค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นบริษัทมหาชนด้วยกัน
