นายกฯ จับมือขุนคลัง ร่วมชี้ทิศทางเศรษฐกิจ ในสัมมนา “Fending off Economic Crisis in Thailand”

ในภาพ: พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ซ้าย) รับมอบของที่ระลึกจากการบรรยายในงานสัมมนา “Fending off Economic Crisis in Thailand” โดยมีนายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้มอบ

นายกรัฐมนตรี พร้อมรมต.คลังร่วมชี้ทิศทางเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนา “Fending off Economic Crisis in Thailand” จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทย และบล.ซีมิโก้ ให้แก่เหล่าผู้จัดการกองทุน

พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวภายในงานยืนยันว่าภารกิจหลักที่เร่งด่วนของรัฐบาลนี้คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจและนำความสามัคคีกลับสู่ประเทศ โดยภายหลังการเข้าเป็นรัฐบาลได้สร้างความชัดเจนให้นานาประเทศเห็นว่าไทยกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียนปลายกุมภาพันธ์นี้ สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเน้นการรักษาระดับการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศที่เล็งเห็นแล้วว่าจะเป็นกลไกหลักและดำเนินการได้รวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ก่อนที่เงินลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการใช้จ่ายชัดเจนประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 52 จะเป็นกลไกต่อไปที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก นายกฯ มีนโยบายที่จะพัฒนาคุณภาพแรงงานในประเทศ โดยจะให้การศึกษาและการอบรมเป็นหัวใจสำคัญ และอยากให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้นายกฯ เน้นให้รัฐบาลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะเชื่อว่าจะเป็นหัวใจสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชนที่ให้โอกาสรัฐบาลนี้เข้ามาทำงาน และจะเป็นตัวสะท้อนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลได้ดีที่สุด

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมานั้นต้องการให้มีการเพิ่มกำลังซื้อโดยจัดสรรงบประมาณให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุด และขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้ปรับลดสเปรดเพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ พร้อมกันนี้รัฐบาลยังมีแผนพัฒนาตลาดทุน ซึ่งได้ลงนามอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนแล้วและเร่งรัดให้วางแนวทางการพัฒนาตลาดทุนโดยเร็ว พร้อมเปิดรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการหลายภาคส่วน นอกจากนี้ในระยะยาวยังมีแผนการควบรวมตลาดทุนเข้ากับประเทศเพื่อนบ้านเืพื่อกระตุ้นฐานนักลงทุน และจะนำแนวคิดดังกล่าวหารือในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระดับอาเซียน ช่วงเดือนพฤษภาคม 2552