แสนสิริโชว์กำไรรวมปี 52 โตก้าวกระโดดเกือบ 100% ทะลุเป้าหมาย 1,600 ล้าน

กลุ่มแสนสิริ โชว์ผลการดำเนินงานปี 2552 สร้างยอดขายรวม 16,500 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 17,497 ล้านบาท และกำไร 1,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 694 ล้านบาท อัตราการเติบโตด้านกำไรก้าวกระโดดเกือบ 100% จากปี 2551 เกินประมาณการณ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2552 สามารถสร้างยอดขายรวม 2,800 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 6,380 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริ และมีกำไรกว่า 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123 ล้านบาท หรือ 26% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 477 ล้านบาท ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.52 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend yield) เกินกว่า 10% สูงสุดในธุรกิจอสังหาฯ ขณะนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท แสนสิริ ตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา สามารถขยายการเติบโตที่ชัดเจนและต่อเนื่องจากการสร้างยอดขายที่อยู่อาศัยครบวงจร ทั้งในส่วนคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ รวมทั้งการรุกขยายงานในตลาดต่างประเทศ โดยผลประกอบการในปี 2552 สามารถสร้างยอดขายรวม 16,500 ล้านบาท คิดเป็นยอดรับรู้รายได้รวมกว่า 17,497 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,607 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 100% หรือเพิ่มขึ้นถึง 694 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา นับว่ามีอัตราการเติบโตด้านกำไรสูงที่สุดในระบบอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ โดยรายได้หลักมาจากที่อยู่อาศัยประเภทแนวสูงและแนวราบในสัดส่วน 53% : 47% ขณะที่ยอดขายในช่วงไตรมาส 4/2552 บริษัทมียอดขายรวม 2,800 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 6,380 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123 ล้านบาท หรือ 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ 477 ล้านบาท

“อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการบันทึกรายได้จากการขายที่สูงขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียม SIRI at Sukhumvit, โครงการคอนโดมิเนียม Hive สาทร และโครงการคอนโดมิเนียม Hive ตากสิน รวมทั้งคอนโดมิเนียมตากอากาศ โครงการบ้านนับคลื่นและโครงการบ้านแสนสุข หัวหิน ที่มีการโอนและทยอยส่งมอบให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการบันทึกรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ อยู่ในระดับสูง โดยบริษัทเตรียมประกาศจ่ายเงินปันผล 0.52 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเกินกว่า 10% ต่อปี เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ที่จ่ายปันผลในอัตรา 0.33 บาทต่อหุ้น ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้” นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของภาพรวมธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการประสบความสำเร็จด้านการขายจากการตอบรับในแบรนด์ที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การควบคุมวินัยทางการเงินของบริษัทฯ เป็นอย่างดี รวมถึงการบริหารงานก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับลูกค้า ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีประสิทธิภาพในการทำกำไรและสร้างรายรับให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้นด้วย

นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า สำหรับการที่ภาครัฐบาลตัดสินใจไม่ต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ที่ผ่านมามาตรการดังกล่าว ส่งผลดีต่อธุรกิจฯ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บริษัทต่าง ๆ มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก ฯลฯ ก็มียอดขายที่ดีตามไปด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าการที่ภาครัฐยกเลิกมาตรการ มาจากภาพรวมที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งหากสภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้วก็คงไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องติดตามผลกระทบในไตรมาส 2/2553 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจน

สำหรับปี 2553 นี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นประมาณ 10 % จากปี 2552 ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ 31 – 32 % เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยแผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงต่อไป ยังคงยึดกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งนอกเหนือจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน ประการแรกคือการสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้า ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และทาวน์เฮาส์ ที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ ประการที่สองคือการที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) เป็นมูลค่ารวมเกือบ 15,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า ประการที่สามคือ แผนการขยายฐานการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรเพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า และประการสุดท้ายคือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง