แสนสิริเชื่อมั่นผลตอบรับจาก PYNE by Sansiri ปรับเป้าขายใหม่ 2.2 หมื่นล.

กลุ่มบริษัทแสนสิริ เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากผลตอบรับของยอดขายคอนโดฯ PYNE by Sansiri ที่สามารถปิดการขายได้ภายใน 1 วัน ประกาศปรับเป้าหมายยอดขายปี 2553 ใหม่ เพิ่มจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 22,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเป้าหมายยอดขายไตรมาสแรกประมาณ 5,000 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้าโอนมอบที่อยู่อาศัยภายในไตรมาสแรก 5,200 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดโอนทั้งกลุ่มภายในสิ้นปี 2553 เป็นมูลค่าสูงถึงเกือบ 17,500 ล้านบาท วางกลยุทธ์รุกหนักเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ครบวงจรทั้งปี จากแผนเดิม 20 โครงการ มูลค่ารวม 27,000 ล้านบาท เป็น 26 โครงการ มูลค่าประมาณ 38,500 ล้านบาท และเพิ่มประมาณการณ์รายได้รวม 18,500 ล้านบาท และมียอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) 15,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งในทุกสภาวะทางเศรษฐกิจ

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการพิจารณาและปรับแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในปี 2553 ใหม่อีกครั้ง หลังจากดำเนินการมาแล้วเกือบ 1 ไตรมาส เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนหนึ่งเห็นได้จากยอดขายของคอนโดมิเนียม PYNE by Sansiri ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 วัน โดยกลุ่มแสนสิริจะมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจรเพิ่มขึ้น จากเดิม 20 โครงการ มูลค่ารวม 27,000 ล้านบาท เป็น 26 โครงการ มูลค่าประมาณ 38,500 ล้านบาท ทำให้คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 22,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเป้าหมายยอดขายไตรมาสแรกประมาณ 5,000 ล้านบาท และส่งผลให้คาดการณ์ได้ว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมทั้งปีได้สูงถึง 18,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในปีนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริยังมีการปรับเป้าหมายยอดการโอน ซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญที่จะต้องส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าตามสัญญา จากมูลค่าเกือบ 16,500 ล้านบาท เป็น 17,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเป้าหมายยอดโอนในไตรมาสแรก ประมาณ 5,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดการโอนที่สูงมากในอันดับต้น ๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน

“สำหรับการที่ภาครัฐบาลตัดสินใจไม่ต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ที่ผ่านมามาตรการดังกล่าว ส่งผลดีต่อธุรกิจฯ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บริษัทต่าง ๆ มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก ฯลฯ ก็มียอดขายที่ดีตามไปด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าการที่ภาครัฐยกเลิกมาตรการ มาจากภาพรวมที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งหากสภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้วก็คงไม่ส่งผลกระทบ ต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องติดตามผลกระทบในไตรมาส 2/2553 ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจน” นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับแผนการขยายโครงการใหม่ในปี 2553 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริ ได้ปรับเป้าจากเดิมที่วางไว้ 20 โครงการ เป็น 26 โครงการนั้น ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 13,100 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 12 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 21,500 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 3,900 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นเกือบ 38,500 ล้านบาท

“แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัวรวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้กลุ่มแสนสิริมีการปรับเป้าหมายให้สอดรับกับโอกาสดังกล่าว แต่ทั้งนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริก็ให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนอย่างมีวินัยทางการเงิน และระมัดระวังในด้านการพึ่งพาการกู้เงินให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายรับให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่กลุ่มแสนสิริมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1-3 ปี ประมาณ 15,000 ล้านบาท นับเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี แม้ปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม” นายเศรษฐา กล่าว