DRT ทุ่มงบ 500 ล้าน เพิ่มไลน์การผลิตใหม่

ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น DRT ครั้งที่ 1/2554 มีมติอนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ผลิตภัณฑ์ตราเพชร” พร้อมเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ หวังระดมสมองรองรับการเติบโตของธุรกิจ ด้านผู้บริหารเผยผู้ถือหุ้นพอใจผลงาน ประกาศเตรียมงบลงทุนเพิ่ม 500 ล้านบาท ขยายไลน์การผลิตใหม่ ตั้งเป้าเติบโตอีก 10% จากปี 53

นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT” ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์หลังคารุ่นเจียระไน รุ่นอดามัส และ รุ่น CT เพชร ผลิตภัณฑ์ไม้ฝาและไม้สังเคราะห์ บอร์ด รวมถึงอุปกรณ์ประกอบหลังคา และบริการหลังการขาย ภายใต้ตราสินค้า “ตราเพชร” เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับของบริษัทฯ จากบริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) เป็น “บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน)” พร้อมกับอนุมัติแต่งตั้งนายไมตรี ถาวรอธิวาสน์ และนายกฤษณ์ พันธ์รัตนมาลา ในตำแหน่งกรรมการ ขณะเดียวกันก็มีมติแต่งตั้ง นายวุฒิไกร โสตถิยานนท์ ในตำแหน่งกรรมการอิสระ

“สาเหตุที่บริษัทฯ พิจารณาแต่งตั้งกรรมการใหม่ เพื่อรองรับกับกิจการที่มีการขยายอย่างต่อเนื่อง บวกกับบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ด้วย จึงจำเป็นที่ต้องมีคณะกรรมการ เพื่อเข้ามาช่วยกันบริหารธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แสดงความเห็นด้วย ที่บริษัทฯ จะเปลี่ยนชื่อ เพราะจะได้สอดรับกับนโยบายในระยะยาวของบริษัทฯ ที่จะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายขึ้น เพื่อขยายช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม โดยจะไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่ที่กระเบื้องหลังคา และอุปกรณ์เท่านั้น ส่วนตัวย่อในการซื้อขายหุ้นก็ยังคงใช้ ‘DRT’ เช่นเดิม ” นายอัศนี กล่าว

ในส่วนของแผน ปี 54 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุน 500 ล้านบาท เพื่อจะลงทุนขยายการผลิตที่ 10 ซึ่งเป็นไลน์การผลิตสินค้าไม้ฝาเป็นหลัก และจะผลิตสินค้าอื่นๆ เสริมด้วย โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินงานและทยอยรับรู้รายได้ในปี 2556

กรรมการผู้จัดการ DRT ยังกล่าวอีกว่า ในปี 54 บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเดินเครื่องจักรในสายการผลิตที่ 9 ที่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ในปีนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมแผนที่จะขยายตลาดส่งออกมากขึ้น พร้อมกับรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายให้สินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตลอดจนเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า เช่น ขายผ่านโครงการอสังหาริมทรัพย์ และ ขายผ่านโมเดริ์นเทรดเพิ่มมากขึ้น