เซ็นจูรี 21 ดึงนักลงทุนต่างชาติรุกตลาดอสังหาฯไทย

เซ็นจูรี 21 ไทยแลนด์ คาดการณ์อสังหาฯปี 2554 ยังทรงตัว หลังปีก่อนมีโครงการใหม่เปิดตัวเป็นจำนวนมาก พร้อมวางกลยุทธ์เน้นเรื่องการให้บริการด้านที่ดินและการลงทุน หลังนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในไทย ทั้ง ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเชีย และจีน เผยตั้งเป้ายอดขาย 25,000 ล้านบาท เผยเน้นการพัฒนาด้านทีมงานบุคลากรรองรับตลาด ขณะที่ด้านแฟรนไชส์เตรียมรุกหนักตลาดนักลงทุนไทย

นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2554 คาดการณ์ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย น่าจะอยู่ในภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากปริมาณที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ในปี 2553 ที่มีเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังซื้อในตลาดเองยังไม่มีการเติบโตเพิ่มมากนัก โดยในส่วนของผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เมื่อปี 2553 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้รวม 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการให้บริการทางด้านที่ดินและการลงทุน (Land and Investment) กว่า 10,000 ล้านบาท การบริหารงานขายโครงการ (Project Sales) รวม 6,000 ล้านบาท และการขายจากการให้บริการด้านอื่น ๆ อีก 1,000 ล้านบาท

ส่วนในปี 2554 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนของที่ดินและการลงทุน 14,000 ล้านบาท การบริหารงานขายโครงการรวม 9,000 ล้านบาท และการขายจากการให้บริการด้านอื่น ๆ อีก 2,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นขยายตัวในส่วนของการให้บริการด้านที่ดินและการลงทุนเพิ่มขึ้นล่าสุดได้มีการเพิ่มทีมงานด้านนี้กว่า 1 เท่าตัว เพื่อรุกเข้าไปทำดีลในที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้างด้วย อาทิ โรงแรม อาคารสำนักงาน ขณะที่ก่อนหน้าจะมุ่งเน้นเฉพาะที่ดินเปล่าเพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียว

“ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีนี้คาดว่าตลาดน่าจะทรง ๆ ตัว หรืออาจจะมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย โดยในส่วนของเราปีนี้เรื่องของ ที่ดินและการลงทุน จะเป็นเรื่องหลัก อย่างในไตรมาสที่ 1 นี้ เรากำลังเจรจากับนักลงทุนมาเลเชีย 2 กลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนซื้อโรงแรม 5-6 แห่งในย่านสุขุมวิท ขณะที่อีกกลุ่มกำลังเจรจาที่จะร่วมลงทุนกับเจ้าของที่ดินเพื่อทำโครงการโรงแรมเช่นกัน ซึ่งในปีนี้เราจะมีดีลลักษณะนี้

ค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะผ่านมาทางเครือข่ายของเซ็นจูรี 21 ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเฉพาะไตรมาสที่ 1 นี้เรามีดีลคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท” นายกิติศักดิ์ กล่าว

นายกิติศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อาทิ ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเชีย และจีน ซึ่งทางบริษัทฯ ใช้ความได้เปรียบด้าน Network ที่มีสาขาทั่วโลกติดต่อกับนักลงทุนชาติต่าง ๆ ที่สนใจผ่าน เครือข่ายของ เซ็นจูรี 21 ในหลาย ๆ ประเทศ นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ติดต่อผ่านบริษัทฯ เพื่อขอคำปรึกษาในการลงทุนในประเทศไทยอีกด้วยเช่นกัน

ในส่วนของการบริหารงานขายโครงการ หรือ Project Sales ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือบริษัทฯสามารถขายโครงการได้คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 9,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายแล้วรวม 22 โครงการ โดยโครงการล่าสุดที่เข้าไปบริหางานจะอยู่ในย่าน พญาไท และ เจริญนคร ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท สำหรับในส่วนของการบริหารงานขายโครงการนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีการเร่งพัฒนาทีมขายเพิ่มมากขึ้นโดยการจัดตั้งทีมขายขึ้นมาอีก 1 ทีม เพื่อรองรับโครงการใหม่ ๆ โดยมุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพของการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการปรับกลยุทธ์ด้านการขายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยี่งขึ้น อาทิ การตั้ง เซ็นจูรี 21 Kiosk ตามห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงเทพฯ การจัด Road Show Caravan ในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ ๆ ในต่างจังหวัด เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพให้กับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย และนักลงทุนดังกล่าวด้วย
สำหรับธุรกิจทางด้านแฟรนไชส์ ในปี 2554 จะมุ่งเน้นในเรื่องการขยายแฟรนไชส์ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวไทยให้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มชาวต่างชาติเป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทมีแฟรนไชส์อยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ซึ่งในปีที่ผ่านมายังถือว่าธุรกิจแฟรนไชส์ ยังต้องมีการปรับรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการตอบรับจากตลาดยังไม่ดีมากนัก อย่างไรก็ดีหากสามารถขยายฐานลูกค้ามาเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยได้เพิ่มขึ้น ก็น่าจะทำให้ในปีนี้น่าจะขยายสาขาของแฟรนไชส์ได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทมีแฟรนไชส์รวม 8 สาขา ขณะที่ในปีนี้คาดว่าจะขยายสาขาของแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 30 สาขา ขณะที่ในส่วนของธุรกิจบริหารอาคาร (Property Management) ในปี 2554 ตั้งเป้าหมายจะเข้าไปบริหารอาคาร ประมาณ 30 โครงการโดยส่วนใหญ่ยังคงเน้นโครงการที่เป็นคอนโดมิเนียมเป็นหลัก