ตลาดออนไลน์ Thaitrade.com ทางลัดสู่ตลาดโลก (ตอนที่1)

ในยุคสังคมออนไลน์(Social Network) ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันทั่วทุกมุมโลก ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดบนโลกเสมือนจริงนี้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีข้อกังวลว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อก้าวเข้าสู่สนามการค้าในยุคสังคมออนไลน์

ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกก่อนว่า การตลาดในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการดำเนินการอยู่ 2 แนวทางคือ การตลาดแบบ Offline Marketing ซึ่งเป็นการทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ผ่านรูปแบบหรือกิจกรรม เช่น กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นและจับต้องได้ อีกแนวทางหนึ่งคือการตลาดแบบ Online   Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่มีกิจกรรมบนโลกไซเบอร์หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก 

ทั้งนี้ในช่วงเริ่มต้น การตลาดแบบออนไลน์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่กำลังดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการทำตลาดออนไลน์ที่ดี จะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่มเติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และการให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใน 7 วัน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาเรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อสารประเภทนี้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจจากผู้ประกอบการที่ดำเนินการตลาดแบบ Online Marketing เพียงอย่างเดียวคือ บริษัท Exportcity Group บริหารงานโดยคุณณัลลิกา ธนสรรค์นนท์ ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจออนไลน์มากว่า 10 ปี และปัจจุบันยังเป็นสมาชิกระดับ gold ของเว็บไซต์ Alibaba.com ต่อเนื่องมา 5 ปี (5th year gold supplier on Alibaba) ได้แนะนำขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการไทยที่สนใจว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มทำคือ

  1. มีรูปภาพของสินค้าที่สามารถบอกรายละเอียด และสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
  2. สมัครเข้าเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ B2B หลายๆ แห่งเพื่อสร้างเครดิตให้กับสินค้าและธุรกิจ โดยปัจจุบันเว็บไซต์ประเภทนี้มีมากกว่า 18,000 เว็บไซต์ ซึ่งผู้ประกอบการอาจเริ่มสมัครจากเว็บไซต์ในกลุ่มประเทศที่ต้องการจำหน่ายสินค้าเช่น ในแถบตะวันออกกลาง อย่าง อินเดีย ดูไบ ปากีสถาน ให้สมัครเป็นสมาชิกของกับ Alibaba และ go4worldbusiness.com สำหรับในเกาหลี มีเว็บไซต์ ezplaza.com ในญี่ปุ่นมี jetro ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เน้นทำธุรกิจ business matching และในไต้หวัน มีเว็บไซต์ tradkey.com เป็นต้น
  3. จัดทำเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งการลงทุนต่ำสุดประมาณ 6,000 บาท ทั้งนี้เพราะ เว็บไซต์เป็นเสมือนกับหน้าร้านที่สามารถบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของสินค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ B2B ที่เป็นสมาชิก ซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในนั้น การจัดทำเว็บไซต์จึงเป็นการรองรับการทำธุรกิจอย่างแท้จริง
  4. สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ คือ สินค้าต้องมีจุดเด่นและความแตกต่าง เพราะเว็บไซต์เป็นเหมือนถนนที่คนต้องเดินผ่าน หากสินค้าไม่สะดุด คนก็ไม่หยุดดู ดังนั้นสินค้าต้องมีจุดเด่น และแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้

    ด้วยความสำคัญและเป็นรูปแบบการตลาดที่ยังเปิดกว้างไร้ขอบเขตให้กับผู้ประกอบการทุกราย กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดทำ โครงการตลาดกลางซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เว็บไซต์ชื่อ thaitrade.com ขึ้น เพื่อเป็นตลาดกลางการซื้อขายสินค้าไทยแบบ B2B (หรือ B2B E-Marketplace) อย่างเป็นทางการของประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจทั่วโลก หันมาใช้อีคอมเมิร์ซเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามจำนวนของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกไทยให้ก้าวสู่โลกการค้าในตลาดออนไลน์แบบ B2B ให้ประสบผลสำเร็จ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการค้าแบบออฟไลน์

    และจากข้อมูลสถิติ www.internetworldstats.com ปี 2551 พบว่าการดำเนินธุรกิจอีคอนเมิร์ซ ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ร้อยละเฉลี่ย 80% อยู่ในรูปของ B2C แต่มีมูลค่าตลาด 45,951 ล้านบาท คิดเป็น 8.7 % ของมูลค่าตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศเท่านั้น ในขณะที่มูลค่าตลาดของ B2B ในปีเดียวกัน สูงถึง 190.7 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 36 % ของตลาดรวมของอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ดังนั้นกรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้จัดทำเว็บไซต์thaitrade.com และตั้งเป้าให้เป็น Thailand B2B E-Marketplace เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยออกไปสู่ตลาดโลก ซึ่งมีศักยภาพการซื้อขายสูง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย และโอกาสของการส่งออกไทยอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญยิ่ง.