แสนสิริเผยอานิสงส์มาตรการบ้านหลังแรก ส่งผลดีโดยตรงต่อผู้ซื้อ

แสนสิริแจงอานิสงส์มาตรการบ้านหลังแรก หลังครม.กำหนดกรอบโครงการชัดเจนขึ้นสามารถหักภาษีได้ทันที ไม่ได้เป็นการหักลดหย่อนซึ่งจะส่งผลดีโดยตรงต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่ใช่ผู้ขาย พร้อมเผยแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง ส่ง 3 แบรนด์ “ดีคอนโด – ฮาบิเทีย – ฮาบิทาวน์” บุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตเต็มสูบ นำร่อง dcondo เป็นโครงการแรก มูลค่า 560 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวการขายครั้งแรกวันที่ 15-16 ต.ค.นี้ ขณะที่วานนี้ (27 ก.ย.) ผู้ถือหุ้นแสนสิริไฟเขียวผ่านแผนแตกพาร์ จากเดิมหุ้นละ 4.28 บาท เป็นหุ้นละ 1.07 บาทเทียบอสังหาฯ ในตลาดเดียวกันและเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น SIRI

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มาตรการบ้านหลังแรก หลังจากครม. มีมติล่าสุด ซึ่งมีการกำหนดกรอบโครงการที่ชัดเจนขึ้น ในเรื่องวิธีการหักภาษีจากเดิม ที่เป็นการหักลดหย่อน เป็นวิธีการหักภาษีได้โดยตรงจากเงินที่ต้องเสียภาษีทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยตรง ไม่ต้องรอให้ทางผู้ประกอบเป็นผู้ส่งต่อผลดีต่อไปยังผู้ซื้อ

“ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีรายได้ต่อเดือนที่ 50,000 บาท มีค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนที่ 300,000 บาท ต้องเสียภาษีเงินได้ที่ 15,000 บาท ซึ่งหากว่า ซื้อบ้านราคาหลังละ 2,000,000 บาท สามารถขอหักภาษีได้ที่ 200,000 บาท หรือ 40,000 บาทต่อปี นั่นหมายถึงว่า จะต้องเสียภาษีเงินได้จำนวน 15,000 บาท ซึ่งจะทำให้ลดภาระของผู้ซื้อไปอย่างมาก “ นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทแสนสิริมีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาลได้เป็นจำนวนถึง 8,300 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นจำนวนที่อยู่อาศัยจ่อโอนภายในปี 2555 จำนวน 3,500  ยูนิต มูลค่า 8,000 ล้านบาท และที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับการขายภายใต้ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 4,800 ยูนิต มูลค่า 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท อาทิ โครงการที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 1.02 – 4.85  ล้านบาท ได้แก่ ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในโครงการ blocs77, TEAL Sathorn-Taksin (ทีล สาทร-ตากสิน), ONYX Phaholyothin (ออร์นิกซ์ พหลโยธิน) , WYNE Sukhumvit (วายน์ สุขุมวิท) และ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) บ้านเดี่ยวในโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ ไพร์ม, ฮาบิเทีย 3 โครงการ 3 ทำเล ราชพฤกษ์-บางใหญ่-วัชรพล, สราญสิริ 3 โครงการ ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์, ท่าข้าม-พระราม 2 และพหลโยธิน-สายไหม รวมถึงทาวน์เฮาส์ในโครงการทาวน์พลัส เทพารักษ์, ทาวน์พลัส ประชาอุทิศ, ทาวน์พลัส เอ็กซ์ ประชาชื่น, ทาวน์ อเวนิว พระราม 9 – พระราม 2 – ศรีนครินทร์ และโครงการ V-Village เฟส 1, ฮาบิทาวน์ วัชรพล เป็นต้น

สำหรับแผนธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จด้านการขายโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม โครงการทาวน์เฮาส์ โครงการบ้านแฝด รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ในรูปแบบช้อปเฮาส์และโฮม ออฟฟิศที่ครอบคลุมทุกระดับราคาและครอบคลุมทุกทำเลในกรุงเทพฯ รวมถึงความสำเร็จจากการเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศระดับพรีเมียมในพื้นที่ตากอากาศในทำเลหัวหิน มาอย่างยาวนาน ล่าสุดบริษัทตัดสินใจขยายขอบเขตการลงทุนสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจ.ภูเก็ต โดยจะพัฒนาโครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านแฝดในแบรนด์ฮาบิเทีย ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นภายใต้แบรนด์ฮาบิทาวน์ และคอนโดมิเนียมแบรนด์ดีคอนโด โดยจะนำร่องเปิดตัวการขายโครงการคอนโดมิเนียมดีคอนโดเป็นโครงการแรก มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท เตรียมจัดงานเปิดตัวการขาย (Pre-Sale) ในวันที่ 15 – 16 ต.ค. นี้

“แบรนด์ dcondo ภูเก็ต จะเป็นโครงการแรกของแสนสิริ ในการบุกตลาดเมืองท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต โดยแสนสิริวางกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่ทำงานอยู่ในจ.ภูเก็ตที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองหรือป่าตอง ซึ่งมั่นใจว่าผลจากการสร้างแบรนด์และการรับรู้เกี่ยวกับโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพถึงกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดมา จะทำให้แสนสิริได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในจ.ภูเก็ตอย่างแน่นอน ส่วนการรุกสู่ตลาดเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทยต่อไปนั้น ยังคงเป็นเป้าหมายและอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะที่วานนี้ (27 ก.ย.) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น จากเดิมหุ้นละ 4.28 บาท เป็นหุ้นละ 1.07 บาท (  1 หุ้นเดิม แตกออกเป็น 4 หุ้นใหม่) ซึ่งทุนจดทะเบียนยังคงเดิม คือ  11,641,589,650.96 บาท โดยแบ่งแยกมูลค่าหุ้นสามัญของบริษัท จากจำนวน  2,719,997,582  หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท ให้เป็น 10,879,990,328  หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.07 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้นี้ จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัท (SIRI) มีมูลค่าที่ใกล้เคียงกับบริษัทส่วนใหญ่ในหมวดธุรกิจเดียวกัน ซึ่งจะทำให้สามารถทำการเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น และจะทำให้มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย รวมทั้งอาจจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ภายหลังจากจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้เรียบร้อยแล้ว บริษัทจะทำการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ SIRI-W1 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ โดยทำการแตกใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยเดิม ให้เป็น 4 หน่วยใหม่ โดยที่อัตราการใช้สิทธิจะยังคงเป็นเช่นเดิม คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1.167 หุ้น แต่เปลี่ยนราคาใช้สิทธิจากเดิมที่ 4.457 บาทต่อหุ้น มาเป็นราคาการใช้สิทธิที่ 1.114 บาทต่อหุ้น  โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) ที่ 1.07 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ คาดว่าราคาพาร์ใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในกลางเดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นไป