แสนสิริ เดินหมากรุกธุรกิจ “คอนโดมิเนียม” เต็มกำลังในปี 2555 รับกระแสคอนโดบูม

แสนสิริ ประกาศแผนพัฒนาโครงการคอนโดตลอดปี 2555 รุกเปิดโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 19,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกระดับราคาทั้งใน กทม. ชานเมือง และต่างจังหวัด ประเดิมแห่งล่าสุดที่เขาใหญ่ หลังสร้างแบรนด์ติดลมบนในหัวหินและภูเก็ตสำเร็จ มั่นใจยอดโอนปีนี้ แตะ  13,000 ล้านบาท จาก 16 โครงการแน่ เหตุพฤติกรรมของลูกค้าชาวไทยเริ่มมาซื้อคอนโดมิเนียม ทั้งเป็นบ้านหลังแรกและหลังที่สองมากยิ่งขึ้นภายหลังเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้งดีมานด์ ความต้องการคอนโดใจกลางเมืองเริ่มมากกว่าซัพพลาย เพราะปัญหาการซื้อที่ดินของบริษัทอสังหาฯ จึงทำให้ตลาดคอนโดชานเมืองติดรถไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโด มิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แสนสิริในส่วนธุรกิจพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียมสามารถสร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยม โดยตั้งแต่ต้นปี 2555 จนถึงปัจจุบัน สามารถสร้างยอดขายได้  กว่า 3,000 ล้านบาทจากความสำเร็จของการขายโครงการดีคอนโด กะทู้ – ป่าตอง ที่ภูเก็ต และโครงการเอชคิว ทองหล่อ ที่สามารถขายหมดภายใน 1 วัน และคาดการณ์ว่าแสนสิริจะสามารถสร้างยอดขายจากงาน แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม (Sansiri Life Comes Home) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ศกนี้อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าเมื่อรวมยอดขายในไตรมาสแรกปี 2555 ทั้งหมดจะทำให้ธุรกิจคอนโดมิเนียมของแสนสิริ สามารถแตะยอดขายที่ 7,000 ล้านบาทได้ ส่งผลให้ยอดขายรวมของแสนสิริในไตรมาสแรกพุ่งถึง 10,000 ล้านบาทตามที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างแน่นอน

“ในปีที่ผ่านมา แสนสิริ ได้แนะนำโครงการคอนโดมิเนียมสู่ตลาดในทุกระดับราคา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ของตลาดโดยรวม มาในปีนี้ นอกจากเราจะคงกลยุทธ์เดิมแล้ว เรายังมองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดเมืองท่องเที่ยว สำคัญทั่วประเทศ นอกเหนือจากที่เราสร้างความแข็งแกร่งได้สำเร็จในหัวหินและภูเก็ต” นายอุทัย กล่าวแสดงความเชื่อมั่น

ล่าสุด แสนสิริ ได้เผยโฉมคอนโดมิเนียมในสไตล์ “รีสอร์ต คอนโด (Resort Condo)” เป็นครั้งแรก ในงานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม กับโครงการเชโลน่า เขาเต่า (Chelona Kaotao) และโครงการ  23 องศา เอสเตท เขาใหญ่ (23? Estate) โดยนายอุทัยกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีความพร้อมที่จะรุกพัฒนาโครงการ คอนโดในรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศ โดยนอกจากโครงการที่เขาเต่าที่เปิดขายครั้งแรกในงานไลฟ์ คัมส์ โฮม รวมทั้งโครงการที่เขาใหญ่ที่เปิดให้จองสิทธิ์และกำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนแล้ว เรายัง วางแผนขยายไปสู่หัวเมืองใหญ่ในภาคเหนือ ตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่าง การศึกษาความเป็นไปได้”

ด้านมุมมองต่อภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเมืองไทยในปี 2555 นั้น นายอุทัย กล่าวแสดงความเห็น ในประเด็นดังกล่าวว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมยังมีการเติบโตในทุกเซกเมนต์ หากวิเคราะห์ในแต่ละเซกเมนต์ โดยเริ่มจากคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม (ระดับราคา 100,000 – 199,999 บาท ต่อ ตร.ม.) พบว่า ซัพพลาย คอนโดหายากมากขึ้นเพราะปัญหาการขาดแคลนที่ดินย่านกลางเมืองจนทำให้ดีมานด์มากกว่าซัพพลายในระดับที่เห็นได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นจากการเปิดตัวของโครงการ เอชคิว ทองหล่อ ของแสนสิริที่ขายหมดภายใน วันเดียว แม้จะยังไม่ได้มีการเปิดการขายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ เมื่อจำนวนคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมียม ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ ทำให้คอนโดในระดับบน (ระดับราคา 70,000 – 99,000 บาท ต่อ ตร.ม.) ที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าจะเริ่มเข้ามาดูดซับความต้องการดังกล่าวทดแทน เพราะปัจจุบันระบบ ขนส่งมวลชนของเราพัฒนาขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อขยายของรถไฟฟ้าสายต่างๆ ดังนั้น กำลังซื้อที่    ไม่ ยึดติดเรื่องทำเลจะกระจายตัวไปอยู่ตามคอนโดที่ถัดออกมาจากเมืองมากขึ้น และที่เห็นการเติบโตชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นคอนโดมิเนียมระดับกลาง (ระดับราคาไม่เกิน 69,999 บาท ต่อ ตร.ม.) ที่ในปีที่ผ่านมา มีโครงการใหม่ๆ นำเสนอสู่ตลาดให้ลูกค้าได้เลือกจำนวนมาก โดยในส่วนนี้ แสนสิริ ได้ใช้แบรนด์ ดี คอนโด และ เดอะ เบส เป็นตัวบุกตลาดที่ได้รับการตอบรับอย่างดีมาก และมีแนวโน้มจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเนื่องจากการเปลี่ยน พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่หันมานิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม มากขึ้นกว่าอดีตที่นิยมซื้อบ้านเดี่ยว       และทาวน์เฮาส์”

“เราเชื่อมั่นว่าคอนโดมิเนียมจาก แสนสิริ จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด จนสามารถทำให้ยอดรับรู้รายได้ของแสนสิริในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท จากการโอน โครงการคอนโดมิเนียม 16 โครงการทั่วประเทศได้ เพราะจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่ม ระมัดระวังในการเลือกโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น   แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้การยอมรับในด้านการบริหารจัดการภายในโครงการแม้แต่ในช่วงอุทกภัยจะเป็นที่ต้องการสูงยิ่งขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคจะเริ่มเปลี่ยนไป คอนโดมิเนียมเริ่มกลายเป็นบ้านหลังแรก ที่คนปัจจุบันจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าบ้านในชานเมืองที่เสี่ยงต่อ ปัญหาอุทกภัย นอกจากนั้น ผู้บริโภคที่มีบ้านอยู่แล้วก็เริ่มมีความต้องการซื้อบ้านหลังที่สองทั้งในพื้นที่ที่ น้ำไม่ท่วมในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เช่น หัวหินและเขาใหญ่มากขึ้นด้วย” นายอุทัย กล่าวสรุป