กลุ่มทิสโก้เผยธุรกิจไตรมาส 2 กำไรโต 6.6%

กลุ่มทิสโก้เผยธุรกิจไตรมาส 2 กำไรโต 6.6% ขยายตัวต่อเนื่องทุกภาคส่วน มั่นใจสิ้นปีเข้าเป้าหมาย 15% หลังสัญญาณเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ครึ่งปีหลังยังคงมุ่งธุรกิจที่ชำนาญ พร้อมปรับตัวรับทุกสถานการณ์ มองเปิดเสรีอาเซียนเป็นโอกาสขยายฐานลูกค้า 

นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mrs. Oranuch Apisaksirikul, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2555 ของกลุ่มทิสโก้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยในไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 919.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาจากการขยายตัวของสินเชื่อทุกภาคส่วนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 20.0% ทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย จากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้มีการลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูหรือขยายกิจการ ขณะที่ภาคประชาชนมีการบริโภคมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มทิสโก้ยังคงเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อรวมในปีนี้ไว้ที่ 15% และมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

“ในครึ่งปีหลัง ทิสโก้มองว่าเศรษฐกิจจะยังคงดีต่อเนื่อง ตามภาวะการลงทุนและการใช้จ่ายที่มากขึ้น บวกกับมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ ที่ออกมา จึงเชื่อว่ายังมีโอกาสในการขยายตัวอีกมากของทิสโก้ โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ทิสโก้จะยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจที่เรามีความชำนาญ โดยเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้จุดแข็งของเราคือ ทีมงานที่มีคุณภาพ ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง และความคล่องตัวในการปรับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจของทิสโก้จะยังคงขยายตัวได้ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้

สำหรับความท้าทาย เป็นเรื่องของการแข่งขันที่ยังคงรุนแรง โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งทิสโก้มองว่าเป็นโอกาส แม้ว่าการเปิดเสรีจะทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม แต่ทิสโก้ก็พร้อมที่จะปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในตลาดที่เรามีอยู่แล้วให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เช่น การขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดโดยเฉพาะตลาดสินเชื่อรายย่อย เพื่อให้บริการได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด นอกจากนี้เรายังมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร โดยสร้างคนของเราให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการทางการเงินได้เมื่อมีโอกาสใหม่ๆ มาถึง” 

นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Suthas  Ruangmanamongkol, President, TISCO Bank Plc.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคารทิสโก้ว่ามีการเติบโตในระดับที่ดี โดยสินเชื่อรวมมีการเติบโตถึง 13.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 โดยเฉพาะธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งได้รับผลบวกจากตลาดรถยนต์ที่คาดว่าปีนี้จะมียอดขายสูงถึง 1 ล้านคัน ส่งผลให้สินเชื่อเช่าซื้อมีทิศทางการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อเช่าซื้อมีการขยายตัวอยู่ที่ 10.2 % จากสิ้นปี 2554 และสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ TISCO Auto Cash มีการเติบโตที่ 18.9% ขณะที่สินเชื่อธุรกิจก็มีการเติบโตที่โดดเด่นเช่นกัน โดยมีการเติบโตถึง 21.5% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในกลุ่มสาธารณูปโภคและการบริการ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโต 35.0% จากสิ้นปี 2554 

ในส่วนของเงินฝาก แม้ว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธุรกิจธนาคารจะได้รับผลกระทบจากกฏระเบียบใหม่ๆ รวมถึงมีการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ย แต่ในส่วนของทิสโก้ยังคงรักษาการเติบโตได้ดี โดยเงินฝากรวมทุกประเภทมีการเติบโต 2.4% จากสิ้นปี 2554 โดยเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้น 42.6% และเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 207.1% ซึ่งเป็นไปตามแผนการลดตั๋วแลกเงินของธนาคาร

นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยงกลุ่มทิสโก้ (Mr. Chatri Chandrangam, CFO) กล่าวถึงผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2555 ว่า  กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิจำนวน 1,756.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.62 ล้านบาท หรือ 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,691.79 ล้านบาท  เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยรวมที่เพิ่มขึ้น 22.9%  ตามการขยายตัวของสินเชื่อทุกภาคส่วน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น 643.34 ล้านบาท หรือ 31.8% มาอยู่ที่ 2,665.19 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 50.1% ตามการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อทุกภาคส่วน และธุรกิจนายหน้าประกันภัย และรายได้ค่าธรรมเนียมรวมของธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น 3.9% ตามภาวะตลาดทุนที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกันของปีก่อนหน้า สำหรับผลกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2555 จำนวนมี 919.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.56 ล้านบาท หรือ 6.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

โดยธุรกิจธนาคาร มีเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2555 มีจำนวน  209,969.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,408.85 ล้านบาท หรือ 7.9% จากสิ้นไตรมาส 1 ปี 2555 ตามการเติบโตของสินเชื่อในทุกภาคส่วน โดยสินเชื่อเช่าซื้อมีจำนวน 137,614.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,307.14 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 10.2% จาก ณ สิ้นปี 2554 นอกจากนี้ สินเชื่ออเนกประสงค์ มีจำนวน 9,217.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 741.10 ล้านบาท หรือ 8.7% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2555 จากการขยายตัวของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ (TISCO Auto Cash) ด้านสินเชื่อธุรกิจเพิ่มขึ้น 4,417.05 ล้านบาท หรือ 12.7% จากสิ้นไตรมาส 1 ปี 2555 ขณะที่สินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม เพิ่มขึ้น 3,508.59 ล้านบาท หรือ 23.6% จากสิ้นไตรมาส 1 ปี 2555 ด้านอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 1.3% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.4% 

ขณะที่เงินฝากรวมมีจำนวน 174,691.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,191.44 ล้านบาท หรือ 1.3% จากสิ้นไตรมาส 1 ปี 2555 ในขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2555 กลุ่มทิสโก้มีสภาพคล่องส่วนเกินประมาณ 11,396 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับสินทรัพย์สภาพคล่องตามเกณฑ์ของ ธปท. จำนวน 4,998 ล้านบาท(ตามเกณฑ์ที่รวมตั๋วแลกเงินแล้ว) ส่งผลให้สินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหมดคิดเป็นอัตราส่วนสภาพคล่องทั้งหมดที่ 11.7%  ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ 6.0% ทั้งนี้สัดส่วนเงินฝากประเภทเงินฝากออมทรัพย์และเผื่อเรียกต่อยอดเงินฝากรวมอยู่ที่ 15.9% 

สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ ในไตรมาส 2 ปี 2555 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันผ่าน บล. ทิสโก้ เท่ากับ 1,425.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ส่วนรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มีจำนวน 172.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 155.74 ล้านบาท หรือ10.5% สำหรับธุรกิจจัดการกองทุน  บลจ.ทิสโก้ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 จำนวน 151,719.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มาจากการเติบโตอย่างมากในธุรกิจกองทุนรวม รายได้ค่าธรรมเนียมรวมจากธุรกิจจัดการกองทุนในไตรมาส 2 ของปี 2555 เท่ากับ 167.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.51 ล้านบาท หรือ  2.1%  เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน