“อาหารเช้า” มื้อนี้ แมคโดนัลด์ขอเสิร์ฟ

ถึงแม้ว่าแมคโดนัลด์เริ่มต้นเสิร์ฟเมนูอาหารเช้าตั้งแต่ปี 2551 ยอดขายเพิ่มขึ้นจนถึงวันนี้ 202% และทำให้ยอดลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้น 148% แต่สำหรับโอกาสในตลาดอารมื้อเช้าก็ยังมีอีกมาก เพราะปัจจุบันยังมีผู้บริโภคอีกมากที่ไม่ได้ทานมื้อเช้าเป็นประจำ ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เร่งรีบมากขึ้นทำให้เหมาะกับการที่แมคโดนัลด์จะใช้ข้อได้เปรียบเรื่องที่ตั้งของสาขา อาศัยทำเลใกล้ที่ทำงานหรือทางผ่านเข้าเมืองของผู้บริโภคมาเพิ่มยอดขาย

และเพื่อทำให้เมนูอาหารเช้าของแมคโดนัลด์ได้รับความสนใจมากขึ้น แมคโดนัลด์ประเทศไทย ได้ร่วมกับแมคโดนัลด์ในเอเชียและตะวันออกกลางรวมทั้งหมด 5,000 สาขา จัดวันอาหารเช้าแห่งชาติ (National Breakfast Day) แจกฟรี แมคมัฟฟิน วิท เอ้ก จำนวน 1,000 ชิ้นต่อสาขา โดยมีสาขาที่แจก 139 แห่งที่ไม่ได้อยู่ด้านในห้องสรรพสินค้า

แต่ก่อนที่จะถึงวันที่ 18 มีนาคม แมคโดนัลด์ต้องทำการสื่อสารทั้งก่อนและหลังวันอาหารเช้าแห่งชาติ โดยแบ่งการสื่อสารออกเป็น 3 เฟส เฟสแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้แฟนของแมคโดนัลด์รับรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ผ่านแฟนเพจของแมคโดนัลด์ที่มีอยู่ 5 แสนราย ด้วย Key Message“ ให้โอกาสดีๆ ช่วงเช้า” (Give Morning a Chance) ตั้งแต่วันที่ 1-10 มีนาคม จนกระทั่งวันที่ 11-17 มีนาคม ก็สื่อสารทั้ง TVC, Radio, POP, OHM, Print ว่าวันที่ 18 มีนาคมแมคโดนัลด์แจกอาหารเช้าฟรี เพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) ว่าแมคโดนัลด์มีเมนูอาหารเข้า จนกระทั่งทำการแจกในวันดังกล่าว เฟสสอง นับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมเป็นต้นไป ก็จะลดราคาเมนูอาหารเช้ายอดฮิตเพื่อสร้างการซื้อซ้ำ (Re-Purchase) เฟสสาม หลังจากกิจกรรมทั้งหมดประมาณ 2 เดือน ก็ทำ Value Campaign ตลอดปี จับคู่เมนูที่เข้าคู่กันเช่นอาหารเช้ากับกาแฟ มาลดราคาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายและสร้างนิสัยการกินอาหารเช้าที่แมคโดนัลด์ (Make Habit)

เพชรรัตน์ อุทัยสาง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า จุดแข็งของแมคโดนัลด์ที่มีเหนือคู่แข่งในกลุ่มร้านอาหาร QSR ด้วยกันเป็นเรื่องของการเปิด 24 ชั่วโมง ที่ทำให้แมคโดนัลด์มีโอกาสเสิร์ฟมื้อเช้าก่อนใครตั้งแต่ 6 โมง ส่วนเรื่องปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคให้บริการแมคโดนัลด์มี 3 ประเด็น ประกอบด้วย ความสะดวก คุณค่า และรสชาติอาหาร ส่วนคู่แข่งแมคโดนัลด์มองว่าร้านอาหารข้างทางตลอดจนอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารอื่นใดที่จะมาแย่งพื้นที่ในท้องถิ่นของผู้บริโภคก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งของแมคโดนัลด์ทั้งนั้น ดังนั้นแมคโดนัลด์จึงแก้โจทย์นี้ด้วยการมีเมนูที่หลากหลายไล่ระดับราคากันไป ตั้งแต่ แมคมัฟฟินธรรมดา 25 บาท โจ๊ก 29 บาท ไปจนถึงเมนูหลักร้อย เพื่อแย่งแชร์จากอาหารสารพัดแบบให้ได้

ปัจจุบันจากการวิจัยของแมคโดนัลด์ประเทศไทย พบว่า ผู้บริโภคคนไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อมื้อเช้าเฉลี่ยคนละ 50 บาท ส่วนผู้บริโภคของแมคโดนัลด์ใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 100 บาท ซึ่งถือว่ามากกว่าการใช้จ่ายในมื้อกลางวันในแมคโดนัลด์ซะอีก เพราะว่ามื้อกลางวันของคนทำงานมักเน้นความประหยัด นิยมรับประทานอาหารในร้านทั่วไปมากกว่าร้านในห้างสรรพสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม สัดส่วนผู้บริโภคที่เข้ามาในร้านแมคโดนัลด์ช่วงกลางวันก็มีมากกว่าทำให้ตอนนี้สัดส่วนรายได้จากอาหารเช้าของแมคโดนัลด์อยู่ที่ 15% ส่วนรายได้จากมื้อเที่ยงสัดส่วน 20% และมื้อเย็นอยู่ที่ 20% ส่วนที่เหลือจะเป็นช่วงของสแน็กไทม์ และทีไทม์ ตั้งแต่ 14.00-17.00 น. ซึ่ง 2 ช่วงเวลานี้เป็นกลุ่มลูกค้านักเรียน นักศึกษาเป็นหลัก

จากแคมเปญของแมคโดนัลด์ที่เน้นหนักในวันที่ 18 มีนาคม รวมทั้งแคมเปญเรื่องราคาตลอดปี แมคโดนัลด์คาดหวังว่าจะทำให้รายได้จากกลุ่มเมนูอาหารเช้าของแมคนัลด์เพิ่มขึ้น 50% โดยแมคโดนัลด์มีสาขา 182 แห่ง สาขาที่เสิร์ฟอาหารเช้าได้มีทั้งหมด 139 แห่ง นอกจากสาขาที่อยู่ในย่านออฟฟิศแล้ว สาขาแบบไดร์ฟ-ทรู จับเส้นทางสัญจรจากบ้านรอบนอกกรุงเทพฯ เพื่อเข้าตัวเมืองก็เป็นโมเดลที่ทำรายได้ในกลุ่มอาหารเช้าได้ดี ปีนี้แมคโดนัลด์จะขยายสาขาอีก 20 กว่าสาขา โดย 50% เป็นสาขาแบบไดร์ฟ-ทรู