สตาร์บัคส์ สานต่อคำมั่นสัญญาต่อชุมชน เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรกในเอเชีย

บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (Nasdaq: SBUX) โดย มร. ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ ประธานบริษัท ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชน (Community Store) แห่งแรกนอกประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ณ สาขาหลังสวน กรุงเทพฯ โดย มร.ชูลท์ซ ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 15 ปี ของการดำเนินธุรกิจ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ร่วมกับพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) โดยที่ร้านแห่งนี้ สตาร์บัคส์จะมอบรายได้ 10 บาท จากการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้ว ให้แก่ชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทย

นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ ยังมีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญในการสร้างการเติบโต ในวันนี้ สตาร์บัคส์ ยังได้ประกาศขยายจำนวนสาขาในประเทศไทยอีกเท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลอดระยะเวลา 15 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย สตาร์บัคส์ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าด้วยการสนับสนุนและความผูกพันที่มีต่อสตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์จะยังคงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมและการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาสู่ชุมชนในประเทศไทย

มร. ชูลท์ซ กล่าวว่า “จากการที่ผมได้มีโอกาสมาร่วมฉลอง 15 ปี ของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย ผมสัมผัสได้ถึงความรักและความทุ่มเทของพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) ของเรา ในการส่งมอบ “ประสบการณ์สตาร์บัคส์” ให้กับลูกค้าของเราในประเทศไทย ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากในความสามารถของเราในการสร้างการเติบโตให้กับตลาดแห่งนี้ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากที่เรายังคงยึดมั่นในตัวตนของเราตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี สตาร์บัคส์ ยังคงดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานของเรา สร้างสัมพันธ์อันน่าประทับใจกับลูกค้า และตอบแทนคืนสู่ชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งร้านกาแฟเพื่อชุมชน ณ สาขาหลังสวนแห่งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาของเราในการตอบแทนคืนสู่ชุมชน และยิ่งไปกว่านั้นยังได้ให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวไร่กาแฟให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนอีกด้วย”

ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งนี้เปิดดำเนินการเป็นแห่งที่ 4 ของโลก ซึ่งอีก 3 ร้าน ตั้งอยู่ที่ ลอสแองเจลิส นิวยอร์คและเท็กซัส โดยร้านกาแฟเพื่อชุมชนแต่ละร้านได้ดำเนินการภายใต้คำมั่นสัญญาของสตาร์บัคส์ที่ต้องการ ตอบแทนคืนสู่ชุมชน ด้วยปณิธานที่ว่าหากชุมชนได้รับการดูแลให้เติบโตเป็นอย่างดีแล้ว ทุกคนที่อาศัยในชุมชนก็จะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน โดยร้านกาแฟเพื่อชุมชนแต่ละร้านมีแนวทางการดำเนินการที่แตกต่างกันไปตามแต่ความต้องการของแต่ละชุมชน แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกัน คือ ความเชื่อที่ว่าเมื่อคนในชุมชนได้ร่วมมือช่วยเหลือซึ่งและกันแล้ว สิ่งดีๆ สามารถเกิดขึ้นตามมา

ด้วยความร่วมมือกันระหว่างลูกค้าและสตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์จะมอบรายได้ 10 บาท จากการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วที่ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งนี้ มอบให้แก่ องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (The Integrated Tribal Development Program) หรือ ไอทีดีพี เพื่อเป็นเงินสนับสนุนในการสร้างศูนย์การเรียนรู้ให้แก่ชุมชนบ้านแม่ขี้มูกน้อย และบ้านกองกาย อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยหลังจากนั้น จะนำไปพัฒนาโครงการด้านการศึกษา สุขอนามัย และโครงการชลประทานต่างๆ อีกด้วย ที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ ได้มอบความช่วยเหลือแก่ชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยรายได้ 5% ของการจำหน่ายกาแฟ ม่วนใจ๋ เบลนด์ ซึ่งเป็นกาแฟที่เพาะปลูกในพื้นที่ทางภาคเหนือของไทยได้ถูกนำกลับมาพัฒนาและช่วยเหลือชุมชนที่เพาะปลูกกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ นั่นเอง

“ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไร่กาแฟในภาคหนือของประเทศไทยนั้นยังมีความยากลำบาก หลายชุมชนยัง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลหรือการศึกษา และยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจน การที่ สตาร์บัคส์ได้เข้าไปช่วยเหลือชุมชนชาวไร่กาแฟเหล่านี้ ได้ช่วยสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับชีวิตชาวไร่กาแฟนับพันราย โดยพวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงระบบน้ำสำหรับสาธารณูปโภค สถานีอนามัยชุมชน และโรงเรียน ถึงแม้ตอนนี้หลายชุมชนที่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว แต่ยังมีโครงการอีกจำนวนมากที่ยังต้องดำเนินการต่อ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทราบว่าร้านกาแฟเพื่อชุมชน ณ สาขาหลังสวนแห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อโอกาสและอนาคตที่ดีแก่ชุมชนชาวไร่กาแฟผู้มอบผลผลิตกาแฟคุณภาพเยี่ยมให้กับพวกเราอย่างต่อเนื่องเป็นการตอบแทน” มร.ไมค์ แมนน์ ผู้อำนวยการ องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน กล่าว

ยังมีลูกค้าจำนวนมากทั้งในชุมชนหลังสวนแห่งนี้และบริเวณใกล้เคียงอื่นๆ ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับชีวิตชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งการเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนในครั้งนี้จะเป็นสะพานเชื่อมชุมชนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน โดยลูกค้าที่เข้ามารับบริการ ณ ร้านกาแฟเพื่อชุมชนนี้ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้เกิดแก่ชีวิตของชุมชนชาวไร่ที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่ยากลำบากและอยู่ห่างไกลได้

ร้านกาแฟเพื่อชุมชนที่สาขาหลังสวน ตั้งอยู่บนพื้นที่บ้านหลังเก่าอายุกว่า 80 ปี ซึ่งบ่งบอกถึงที่มาของวัฒนธรรมดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี บรรยากาศบ้านสไตล์ไทยที่ได้รับการตกแต่งให้สะท้อนเอกลักษณ์ชุมชนในบริเวณ หลังสวน และแรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตของชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศ

นอกจากนี้ ร้านสตาร์บัคส์เพื่อชุมชนแห่งนี้ ยังอยู่ระหว่างการขออนุมัติรับรองการเป็นร้านสีเขียวภายใต้ การรับรองมาตรฐาน LEED? ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย โดยสตาร์บัคส์ได้เลือกวัสดุไม้ที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงวัสดุที่หาได้ภายในชุมชนนำมาตกแต่งร้าน ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสตาร์บัคส์ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งนี้ คือ สิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นสำหรับสตาร์บัคส์ ประเทศไทย เราหวังว่าความสัมพันธ์ อันทรงพลังดังกล่าวที่ช่วยให้ชุมชนชาวไร่กาแฟได้รับประโยชน์สูงสุดจากเงินช่วยเหลือที่มอบผ่าน องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน จะช่วยจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พาร์ทเนอร์ (พนักงาน) และลูกค้าของเรา” มร. เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “สตาร์บัคส์ ได้เริ่มรับซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวไร่กาแฟในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 รังสรรค์มาเป็นกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของความสัมพันธ์และคำมั่นสัญญาของ สตาร์บัคส์ที่ต่อชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทยที่เรารับซื้อกาแฟ ด้วยความร่วมมือกัน เราหวังว่าเราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นในระยะยาว”

ร้านกาแฟเพื่อชุมชน ณ สาขาหลังสวน เปิดให้บริการแล้ว โดยตั้งอยู่เลขที่ 39/1 ซอยหลังสวน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการเพื่อสังคมของสตาร์บัคส์ได้ที่ www.starbucks.com