กลุ่มอลิอันซ์ "รายงานผลสำรวจความมั่งคั่งทั่วโลก" ชี้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ทางการเงินสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย

กลุ่มอลิอันซ์ เยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นหลักของ บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผย “รายงานผลสำรวจความมั่งคั่งของโลก” ฉบับที่สี่ ซึ่งทำการสำรวจสถานการณ์สินทรัพย์และหนี้สินของภาคครัวเรือนในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จากผลสำรวจดังกล่าวพบว่าสินทรัพย์ทางการเงินในภาคครัวเรือนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปี 2555 คิดเป็นร้อยละ 8.1 ซึ่งเป็นการเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหกปีและยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวหลังจากที่มีการปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี (ในระหว่างปี 2544 – 2555 ) หนึ่งในปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของปีที่แล้วก็คือภาวะตลาดหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มที่เป็นเชิงบวก ทำให้สินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของหลักทรัพย์ขยายตัวถึงร้อยละ 10.4 เป็นผลทำให้มูลค่ารวมของสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 111 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 4,455 ล้านล้านบาท)

ในขณะเดียวกัน การเติบโตของภาวะหนี้สินยังคงต่ำอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ในปี 2555 เป็นปีที่สี่หลังจากการล่มสลายของเลห์แมน สัดส่วนหนี้สินทั่วโลก (แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของจีดีพี) ลดลงไปอีก 1 จุด มาอยู่ที่ร้อยละ 65.9 เปรียบเทียบกับร้อยละ 71.6 ในปี 2552 สะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิทั่วโลก (สินทรัพย์ทางการเงินขั้นต้นลบด้วยหนี้สิน) มีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก คือ ร้อยละ 10.4 โดยทุกภูมิภาคต่างได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตที่แข็งแกร่งในครั้งนี้ เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 16.7 สูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของทั่วโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งปีที่แล้วมีเพียงทวีปออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เท่านั้นที่เติบโตเร็วกว่า

“ผู้ออมเงินในภูมิภาคเอเชียสามารถผ่านพ้นวิกฤตการเงินโลกมาได้อย่างดีจนถึงปัจจุบัน” ศ.ดร.ไมเคิล ไฮส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส กลุ่มอลิอันซ์ ประเทศเยอรมนี กล่าวและว่า “ในขณะที่ภูมิภาคที่ร่ำรวยอย่างทวีปอเมริกาและยุโรปเพิ่งจะประคับประคองตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับดีกว่าก่อนเกิดวิกฤตได้เพียงเล็กน้อยเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ซึ่งระดับความมั่งคั่งของภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ณ สิ้นปี 2555ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 70 จากช่วงที่ขึ้นสูงสุดในปี 2550 แต่พัฒนาการล่าสุดแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ภูมิภาคเอเชียก็ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเงิน ยังไม่อาจที่จะนิ่งนอนใจได้ เอเชียจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเรื่องของจุดอ่อนในเชิงโครงสร้างต่อไป”

ผลจากการวิเคราะห์ระยะยาวยืนยันว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี 2543 ประเทศในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีการเติบโตของสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิโดยเฉลี่ยร้อยละ14 ต่อปี ตามด้วยภูมิภาคที่เกิดใหม่อื่นๆ (emerging regions) เช่น ประเทศในแถบละตินอเมริกา (ร้อยละ11.6) และยุโรปตะวันออก (ร้อยละ11.0) ส่วนสินทรัพย์ทางการเงินเฉลี่ยต่อประชากรในแถบเอเชียเมื่อปลายปี 2555 คิดเป็นจำนวนเงินรวม 3,650 ยูโร (ประมาณ 146,491 บาท) สูงกว่าประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ในโลก อย่างไรก็ตามประเทศในแถบเอเชียเหล่านี้กับประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีความแตกต่างอย่างมากและยังห่างไกลกับค่าเฉลี่ยสินทรัพย์ทางการเงินของโลกที่ 16,240 ยูโร (ประมาณ 651,783 บาท) แต่ค่าเฉลี่ยของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียเองก็มีความแตกต่างอยู่ค่อนข้างมาก(แม้ว่าจะไม่ได้รวมประเทศญี่ปุ่น) ในทางตรงกันข้าม ยังคงมีประเทศที่ยากจนอย่างอินเดียและอินโดนีเซีย ที่พบว่าสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิต่อประชากรมีระดับต่ำกว่า 1,000 ยูโร โดยประมาณ (ประมาณ 40,134 บาท) ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของภูมิภาค อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้และไต้หวันกลับมีระดับความมั่งคั่งในระดับเดียวกับประเทศในแถบยุโรปตะวันออก

ในภาพรวม แม้ว่าความพยายามในการลดช่องว่างด้านสินทรัพย์จะดำเนินไปอย่างดีเยี่ยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การเดินทางยังคงอีกยาวไกล พร้อมด้วยปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเสริมปัญหา ได้แก่ การเติบโตของหนี้สินส่วนบุคคลที่รวดเร็วกว่าการเติบโตของสินทรัพย์ ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ประเทศในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีภาระหนี้สินต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.7 ต่อปี ระดับการเติบโตของหนี้สินเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.3 ในช่วงปี 2546-2550 เป็นร้อยละ 15.8 ในช่วงปี 2551-2555 สวนทางกับการเติบโตของสินทรัพย์ที่ชลอตัวลงเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2550 แม้ว่าหนี้สินส่วนบุคคลจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในประเทศเหล่านี้ แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เราควรจับตาดูความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเอเชียไม่ควรพลาดอย่างที่อเมริกาและยุโรปเคยพลาดมาแล้ว การเติบโตอย่างรวดเร็วของหนี้สินไม่เคยก่อให้เกิดความยั่งยืน” นายไฮส์ กล่าว

สอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา จาก 7 ใน 9 ปี การเติบโตของหนี้สินสูงกว่าการเติบโตของสินทรัพย์ประชากรโดยเฉลี่ย โดยมีเพียงปีที่แล้วเท่านั้นที่หนี้สินเพิ่มขึ้น ร้อยละ18.6 ขณะที่สินทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 โดยการเติบโตของหนี้สินนี้เกิดจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดหลักทรัพย์ไทยซึ่งผลักดันให้สัดส่วนของเงินฝากในธนาคารโดยเฉลี่ยลดลงต่ำกว่าร้อยละ 50 สินทรัพย์ทางการเงินสุทธิเป็นจำนวน 316 พันล้านยูโร (ประมาณ 12,683 พันล้านบาท) ซึ่งยังคงสูงกว่าหนี้สินรวมคิดเป็น 1.4 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพีไต่ขึ้นไปถึง 77% สูงกว่าในประเทศอุตสาหกรรมหลายประเทศ (เช่น ประเทศเยอรมนี ปี 2555: ร้อยละ 59) อย่างไรก็ตาม พบว่าภาคครัวเรือนของไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของสินทรัพย์สุทธิทางการเงินสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชีย จากการที่คนไทยมีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.5 ทำให้คนไทยโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีมูลค่าสินทรัพย์ที่ประมาณ 1,460 ยูโร (ประมาณ 58,596 บาท) จากข้อมูลช่วงปลายปี 2555

เฉกเช่นกับปีก่อนๆ “รายงานผลสำรวจความมั่งคั่งทั่วโลก” ได้จัดกลุ่มเจ้าของสินทรัพย์ทั่วโลกออกเป็น 3 ระดับ 1. ผู้ที่มีความมั่งคั่งในระดับต่ำหมายถึงผู้ที่มีสินทรัพย์ต่ำกว่า 4,900 ยูโร (ประมาณ 196,659 บาท) 2. ผู้ที่มีความมั่งคั่งในระดับกลาง หมายถึงผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิ ระหว่าง 4,900-29,200 ยูโร (ประมาณ 196,659 – 1,171,925 บาท) และ 3. ผู้ที่มีความมั่งคั่งในระดับสูงหมายถึงผู้ที่มีสินทรัพย์สูงกว่า 29,200 ยูโร (1,171,925 บาท) ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจทำให้กลุ่มผู้มั่งคั่งในระดับต่ำเพิ่มสูงขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สถานการณ์ในกลุ่มประเทศยากจนพบว่า ประชาชนในกลุ่มผู้มั่งคั่งระดับกลางมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพียงแค่ปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีจำนวน เพิ่มสูงขึ้นถึง 140 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นประชากรชาวจีน บ่งชี้ว่าผู้มีความมั่งคั่งในระดับกลางหรือชนชั้นกลางที่มีอยู่ประมาณ 860 ล้านคน อาศัยอยู่ในกลุ่มประเทศที่กลุ่มอลิอันซ์ได้ทำการศึกษาในปี 2555 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเติบโตของชนชั้นกลาง ไม่ได้เริ่มขึ้นจากปีที่แล้วเท่านั้น แต่ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่อง ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเทศที่จัดเป็นประเทศในตลาดใหม่ เช่น ยุโรปตะวันออกและละตินอเมริกามีการเติบโตของจำนวนชนชั้นกลางเพิ่มเป็นสองเท่าของอัตราการเติบโตของจำนวนชนชั้นกลางทั่วโลก ในขณะที่เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีการเติบโตสูงขึ้นถึงกว่าสิบเท่า แสดงให้เห็นว่า โฉมหน้าชนชั้นกลางทั่วโลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยเมื่อปี 2543 ร้อยละ 60 ของชนชั้นกลางอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ หรือ ยุโรปตะวันตก หากแต่ในปัจจุบัน ชนชั้นกลางจาก 1 ใน 2 คนจะมาจากทวีปเอเชีย และแนวโน้มดังกล่าวก็ยังจะดำเนินต่อไป ขณะที่ตัวเลขของชนชั้นกลางในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตกที่ลดลงต่ำกว่า ร้อยละ 30

*อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร เท่ากับ 40.1344บาท ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2555 (อ้างอิงจากวันที่รวบรวมรายงาน) จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย

มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อบุคคล, ปี 2555, 20 อันดับสูงสุด:

ที่มา : มิวนิค, 24 กันยายน 2556