ล่าสุดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกมาระบุถึงการที่ “ไทยพีบีเอส” ได้ยื่นร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อเป็น “ผู้เสียหายร่วม” กับกสทช. จากกรณี บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัดช่อง 3 ยื่นฟ้องเพิกถอนมติ กสทช. วันที่ 3 ก.พ. 2557 ที่ให้ “ฟรีทีวี” ในระบบอะนาล็อก ต้องยุติการออกอากาศในทุกแพลตฟอร์ม ตามประกาศกติกามัสต์แครี่ ของกสทช.ระบุไว้ว่า หลังจากเริ่มเผยแพร่ออกอากาศทีวิจิตอลแล้ว 30 วันว่าในวันที่ 25 พ.ค.2557
เหตุผลของไทยพีบีเอส ให้ในการยื่นต่อศาลปกครองกลางในการเป็นผู้เสียหายร่วม คือ หากศาลปกคองคุ้มครองช่อง 3 จะทำให้ ไทยพีบีเอสต้องออกอากาศแบบอนาล็อกยาวนานขึ้น ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายขึ้นจากการออกอากาศ 2 ระบบ และยังทำให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลล่าช้าขึ้น เพราะตามแผนไทยพีบีเอสต้องการยุติระบบอะนาล็อกในปี 2559
การยื่นขอเป็นผู้เสียหายร่วมกับกสทช.ของไทยพีบีเอสนั้น ทำให้ กสทช จะมี “ตัวช่วย” อีกแรงในการต่อสู้คดีกับช่อง 3 ซึ่งนอกจากไทยพีบีเอสแล้ว กสทช.เองก็อยากให้ดิจิตอลทีวี 24 ช่องอื่นๆ ทำในลักษณะเดียวกับไทยพีบีเอส เพื่อให้การต่อสู้ของกสทช.มีน้ำหนักมากขึ้น เพราะกสทช. ก็หวั่นวิตกว่า หากแพ้คดีถูกศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งเรื่องกฎมัสแครี่ ย่อสะเทือนถึงแผนการแจ้งเกิดดิจิตอลทีวี
แต่ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้ว่าช่อง 3 จะเป็นคู่แข่งขันของดิจิตอลทีวี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการร่วมมือกับดิจิตอลทีวีช่องอื่นๆ แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เนื่องช่องดิจิตอลเองก็มักจะมี การเชิญดาราดังของช่อง 3 มาออกรายการ เพื่อเรียกคนดู และเรทติ้ง
หากช่องดิจิตอลทีวีลุกขึ้นมาฟ้องร้องช่อง 3 ย่อมมีผลต่อธุรกิจด้วยเช่นกัน อย่างเรื่องการเชื้อเชิญดาราดังของช่อง 3 ไปออกอากาศในรายการ ย่อมไม่ง่ายเหมือนเดิม
ส่วนไทยพีบีเอส เป็นช่องที่ให้ความร่วมมือกับกสทช.ด้วยดี เพราะไทยพีบีเอส ได้รับสิทธิ์จากกสทช. ทำทีวีสาธารณะถึง 2 ช่อง คือ ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว แลกกับการที่ไทยพีบีเอส ยุติการออกอากาศระบบอนาล็อก เปลี่ยนมาเป็นดิจิตอลภายใน 3 ปี และคืนคลื่นความถี่ยูเอชเอฟ ให้กับกสทช.เพื่อนำไปจัดสรรใหม่ เพราะทำให้มีช่องรายการแบบความคมชัดสูง (HD) เพิ่มมากขึ้น
ต้องรอลุ้นกันว่า ระหว่างที่ศาลปกครองกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา โดยมีกำหนดถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ระหว่าง กสทช. และช่อง 3 ใครจะงัดหลักฐาน เป็นทีเด็ดในการสู้คดีครั้งนี้ได้มากกว่ากัน
