เสี่ยเจียงวอนแฟน “Fast 7” เห็นใจ ขอตามฟ้องทุกเรื่องที่มี “จา พนม”

กระแสแอนตี้ “สหมงคลฟิล์ม” ถล่มเน็ต!! คอหนังขอรวมตัวแบนค่ายหนังอย่างเป็นทางการ ทันทีที่ศาลสั่งระงับการฉายภาพยนตร์เรื่อง “Fast & Furious 7” จากคดีการละเมิดสัญญาของ “จา พนม” นักแสดงในสังกัด เสี่ยเจียงในฐานะเจ้าของค่ายขอความเห็นใจเพราะจำต้องทำ แม้ฟีดแบ็กจะน่ากลัวขนาดไหน แง้มทางออกเอาไว้ให้ คนไทยอาจมีสิทธิได้ดูหนังเรื่องนี้พร้อมทั่วโลกถ้าอีกฝ่ายติดต่อขอเจรจา ไม่เช่นนั้น จะขอตามฟ้องหนังทุกเรื่องที่มีชื่อ “จา พนม”!! โดยครั้งนี้เรียกค่าเสียหายเอาไว้กว่า 1,600 ล้านบาท!! 
 

“Fast กูอยู่ไหน?” ร้องไห้หนักมาก! ทวงคืนหนังกลับโรง

 
 

คนไทยต้องการดู Fast & Furious 7” คือชื่อแฟนเพจที่ถูกตั้งขึ้นหลังข่าวการระงับการฉายภาพยนตร์ “Fast & Furious 7” ถูกปล่อยออกมา มีผู้คนเข้ามากดไลค์ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะนี้ยอดผู้ไม่เห็นด้วยกับผลห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้พุ่งทะลุ 20,000 รายเข้าไปแล้ว และมีวี่แววว่าจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

 
โดยส่วนใหญ่เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า การตัดสินใจของทาง บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ทัชชกร ยีรัมย์” หรือ “จา พนม” พระเอกหนังบู๊ชื่อดัง ผู้ละเมิดสัญญาค่ายไทยไปแสดงกับค่ายต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อคอหนัง แทนทีจะเป็นแค่กรณีความขัดแย้งส่วนบุคคล แต่ดันส่งผลกระทบมาถึงตัวหนังให้ต้องสั่งระงับการฉายให้เดือดร้อนคนดูทั้งประเทศ!!
 

คำขอร้องจากเพจ “คนไทยต้องการดู Fast & Furious 7”
 
“อยากให้คนไทยทุกคนร่วมมือครับ อย่าให้เรื่องระหว่างสองคนทำให้คนทั้งประเทศไม่ได้ดูหนังที่เรารักครับ”
 
“เป็นคนนึงที่รักหนังเรื่องนี้มาก ดูตั้งแต่ภาค 1 จนถึงภาค 6 และรอดูภาค 7 มานานมากกกแล้ว นี่คือไร รอดูตั้งนานแล้วมาแบนหนังเค้าเพราะ จา พนม ขอโทษนะคะ ไม่มี จา พนม ก็ดูได้เพราะไม่ได้รอดู จา พนม รอดูคนอื่นๆ ในหนังที่อยู่มาตั้งแต่ภาคแรก คนเพียงคนเดียวทำให้คนหลายล้านคนผิดหวัง ต้องการชนะอะไรไม่รู้หรอกนะ แต่เราต้องการดู Fast & Furious 7 และทุกๆ คนก็ต้องการเหมือนกันค่ะ”
 

 
ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง “Fast & Furious 7” มี Universal Pictures เป็นผู้อำนวยการสร้าง และมีบริษัท United International Pictures Far East (UIP) เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศซีกตะวันออกรวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งกำหนดฉายเดิมคือวันที่ 1 เม.ย.ที่จะถึงนี้ แต่หลังจาก “สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” หรือ “เสี่ยเจียง” ผู้ก่อตั้งบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีหลักฐานชัดเจนว่านักแสดงในสังกัดอย่าง “จา พนม” ได้แสดงในหนังเรื่องนี้ จึงสั่งการให้ “สุวัตร อภัยภักดิ์” ทนายความผู้รับผิดชอบกรณีนี้ ฟ้องข้อหาผิดสัญญาและละเมิดค่าเสียหาย
 
“สรุปคือ เราฟ้องทั้ง 3 ทางคือ คุณจา, Universal Pictures และ UPI โดยฟ้องว่าละเมิดเรียกค่าเสียหายประมาณ 1,600 กว่าล้าน โดยการนี้เราไต่สวนฉุกเฉินขอคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวานนี้ และศาลได้มีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวห้ามไม่ให้ฉายหนัง Fast & Furious 7 และเราได้นำส่งหมายไปถึงเขาแล้ว เขาก็จะต้องเลือกว่าจะ 1.เข้ามาเจรจากับเรา 2.เข้ามาสู้คดีกับเรา แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะขอร้องเขาให้เข้ามาเจรจากันเถอะ แฟนหนังจะได้ดู Fast & Furious7 ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ จะได้ไม่อารมณ์ค้างมาด่าพวกผมต่อ
 

 
คุณจาต้องตอบให้ได้ว่าเงินที่เอาไปเงินที่เอาของบริษัทไป 26 ล้านจะเอายังไงและค่าเสียหายของทางสหมงคลฟิล์มจะจัดการแบบไหน และทางบริษัทหนังจะเลือกตัดบทของคุณจาออก หรือจะเข้ามาสู้คดีกับเรา เรื่องนี้ศาลนัดฟ้องวันที่ 16 มิ.ย.ครับ ถ้าเขาไม่ติดต่อกลับมา แสดงว่าฝั่งนั้นเขาไม่ประสงค์จะประนีประนอม ดังนั้น ก็อย่าฉายเลย เพราะถ้าเราปล่อยให้เขาฉายแล้ว ฉายเสร็จเขาก็หอบเงินกลับประเทศไทย เราทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ หนังยังมีคำสั่งระงับฉายตลอดครับ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทางเรายืนยันว่าเราฟ้องคุณจานะครับครับ เพราะเขาเป็นคนผิดสัญญากับเรา แต่เราจำเป็นต้องหวดจำเลยที่ 2 และ 3 ด้วย ซึ่งก็คือทาง Universal Pictures และ UPI
 
เราไม่ใช่เจ้าของหนัง เราไปแตะอะไรเขามากไม่ได้ แต่ที่เราต้องทำ เราในฐานะที่เป็นคนไทย อยู่ในประเทศไทย เราถูกละเมิดโดยฝรั่ง คุณข้ามชาติมา ซึ่งเราเตือนเขาแล้วนะว่าอย่าสร้างเลย ทีนี้ก็ต้องคิดถึงตามหลักของกฎหมาย ต้องนึกถึงเหยื่อซึ่งคือผู้เสียหาย และผู้กระทำ ถามว่าเรื่องนี้ใครกระทำ ใครเริ่ม และใครคือผู้ที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ คือเราไม่ได้เอาปืนไปไล่ยิงหัวเขา แต่เราใช้สิทธิดำเนินคดีตามกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่เราทำดีที่สุด มันคือวิธีการที่ผู้ดีเขาจะสู้กัน เราไม่รู้จะสู้ด้วยวิธีไหนแล้ว” สุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีนี้ เผยรายละเอียดขณะตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันนี้ 
 
 

วอนช่วยเห็นใจ อย่าเกลียดเสี่ยเจียง-สหมงคลฟิล์ม

 
“เราอยากจะขอร้องว่าคนไทยอย่าเกลียดเราเลย ถ้าเราออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างคนทั่วไปเดินตามถนน วันหนึ่งถูกกระชากสร้อย บอกตำรวจ ตำรวจบอกว่าโจรคนนี้จน แบ่งเขาหน่อยไม่ได้เหรอ มันได้เหรอครับ เสี่ยเจียงท่านกังวลว่าฟีดแบ็กจะกลับมาไม่ดีและจะไม่เข้าใจเจตนาของบริษัท จู่ๆ ไประงับแบบนี้ บางคนก็ถึงขั้นด่าพ่อล่อแม่ลงสื่อออนไลน์
 

สุวัตร อภัยภักดิ์” ทนายความฝั่งเสี่ยเจียง
 
ผมอยากจะกราบเรียนทุกท่านให้ทราบว่า เสี่ยเจียงได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะติดต่อคุณจา ให้มาพบมาพูดมาคุย แม้กระทั่งครั้งหลังสุด ผมส่งจดหมายให้ไปถึงที่บ้านซึ่งย้ายมาอยู่ปทุมธานี ผมก็ไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านมา ส่งจดหมายไปหาเขา เขาไม่ยอมรับ ไม่ติดต่อ ไม่คุย เป็นหนี้ชาตินี้แต่ไม่ใช้ไม่หนี เมื่อติดต่อกันไม่ได้อย่างนี้ ทางเราจึงจำเป็นต้องฟ้องดำเนินคดีครับ เป็นทางสุดท้ายจริงๆ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ฟีดแบ็กอาจจะกลับมาไม่ดี แต่เพื่อรักษาสิทธิของคนไทยซึ่งเรามีสัญญาอยู่ ถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ เราก็ไม่รู้จะทำอะไร และเขาฉายหนังเสร็จ เขาก็ขนเงินกลับไปอเมริกา ชนะคดีแล้ว คุณจะไปยึดเอาอะไร โฉนดที่ดินก็ไม่มีซักแปลงหนึ่ง ตึกที่อยู่ที่ไทยก็ตึกเช่า ก็ต้องระงับ
 

“จา พนม” จากเรื่อง “Fast & Furious 7”
 
การที่ผมฟ้องไป ไม่ใช่เพราะมีสาเหตุโกรธกัน เพราะผมและคุณจาไม่เคยรู้จักเห็นหน้ากัน รวมถึงจำเลยที่ 2 และ 3 ด้วย ถ้าคุณจาและจำเลยมาคิดร่วมกัน มาแก้ไขในสิ่งผิดเช่นนี้ ที่ผิดข้อตกลง ทุกสิ่งทุกอย่างประนีประนอมกันได้ ที่ไหนมีความขัดแย้งกัน เราก็ต้องประนีประนอม เอาหัวชนกำแพงไม่ได้หรอก ถ้าอีกฝ่ายจะเข้ามาขอเจรจา เรายินดีมากเลยครับ อยากให้มาเลย คนไทยจะได้ดูหนัง ไม่งั้นเสี่ยเจียงโดนด่าเละเลย”
 
สุวัตร ผู้รับหน้าที่ทนายและผู้ให้รายละเอียดต่อสื่อมวลชนแทนเสี่ยเจียง ช่วยอธิบายรายละเอียดให้ลึกขึ้น ซ้ำยังย้ำชัดว่าจำเป็นต้องฟ้องตามหน้าที่ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไปจนถึงเรื่องอื่นๆ ที่มี “โทนี่ จา” แสดงในนั้น รวมถึงเรื่อง “Skin Trade คู่ซัดอันตราย” ที่กำลังจะเข้าฉายด้วย
 

คอหนังโกรธ ถึงขั้นขอแอนตี้
 
“ถึงสังคมจะกดดันสหมงคลฟิล์ม แต่ผมก็ต้องฟ้องครับ ด้วยอาชีพทนายความ ผมจำเป็นต้องหาความยุติธรรมให้แก่ลูกความผม ตรงไหนมีการกระทำละเมิดต่อกัน ผมจะไปเห็นใจผู้กระทำละเมิดไม่ได้ เหมือนมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บ้าน อาจจะนุ่งบางๆ หน่อย แล้วมีคนปีนรั้วไปข่มขืน เราจะไปบอกว่าผู้หญิงนุ่งผ้าบางก็เลยถูกข่มขืนมันไม่ได้ เราต้องเข้าใจว่า “ใครคือเหยื่อ” ใครเป็นผู้เสียหาย ใครเป็นผู้กระทำ เมื่อเราเข้าใจได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ เราก็ต้องแยกแยะว่าใครถูกใครผิด ผมเห็นใจคุณจานะครับ แต่โดยหน้าที่ มันมีฟ้องหรือถูกฟ้อง มีอยู่แค่นั้น”
 

 

เสียหายหลายล้าน! เบื้องหลัง “โทนี่ จา” ที่หลายคนไม่รู้

 

 
เป็นที่ทราบโดยทั่วไปแล้วว่า “โทนี่ จา” หรือ “จา พนม” แต่เดิมแสดงเป็น Stuntman ในหนังฟอร์มเล็กๆ มาก่อน ต่อมาเมื่อ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ชักจูงเข้ามาพบเสี่ยเจียงจึงเกิดหนังฟอร์มยักษ์ขึ้น และได้เซ็นสัญญาพร้อมกับ “กฤติยา ลาดพันนา” ผู้กำกับคิวบู๊ จนได้เป็นนักแสดงในสังกัดของทาง บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มาจนถึงปัจจุบัน
 
“สัญญาจ้างฉบับแรก ลงวันที่ 25 ก.ค.2546 เนื้อหาในข้อ 2.2 ระบุไว้ว่า เมื่อเป็นนักแสดงในสังกัดแล้ว จะทำการแสดง ขับร้อง หรือทำการอื่นใดเกี่ยวกับการแสดงตามสัญญาให้กับทางบริษัท หรือตามบริษัทเห็นสมควรกำหนดเท่านั้น หมายความว่าแสดงให้สหมงคลฟิล์ม และจะไม่รับแสดงหรือกระทำการดังกล่าวให้บุคคลอื่น ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่จะได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าจากทางบริษัท หมายความว่าเมื่อคุณจาเซ็นสัญญานี้แล้ว คุณจาจะแสดงหนังให้ต่างประเทศหรือให้ใครก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากบริษัท ถ้าได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นหนังโฆษณาที่เคยรับ ทางเสี่ยก็แบ่งผลประโยชน์ไปให้
 
และในสัญญานี้ ข้อ 3 เขียนไว้เรื่องระยะเวลาของสัญญาว่า สัญญาฉบับนี้มีผลผูกพันระหว่างบริษัทกับนักแสดง ครูฝึก ผู้ควบคุม เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.2546 – 24 ก.ค.2556 ในวรรค 2 บอกว่ากรณีที่บริษัทมีความประสงค์จะต่อสัญญาออกไป บริษัทจะต้องแจ้งความประสงค์ไปยังนักแสดง ครูฝึก และผู้ควบคุมให้ทราบล่วงหน้าก่อนครบกำหนดอายุในสัญญาไม่น้อยกว่า 2 เดือน เมื่อบริษัทได้แจ้งความประสงค์ดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่ามีการต่ออายุสัญญานี้ออกไปตามความประสงค์ของบริษัททันที”
 

 
ขณะนั้น ก่อนครบกำหนดสัญญา เสี่ยเจียงเห็นว่าหนังเรื่อง “ไอ้หนุ่มกังนัม” ทางคุณจา เบิกเงินลงทุนล่วงหน้าไป 26 ล้านยังไม่มีอะไรคืบหน้า จึงส่งไปรษณีย์ แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่บ้านของคุณจาและมีพี่ของเขาเป็นผู้เซ็นรับ โดยทางกฎหมายแล้วถือว่าเป็นการต่อสัญญาสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าต่อสัญญาอีก 10 ปี หลังจากนั้น เจ้าตัวก็ได้เข้ามายืนยันกับทางเสี่ยเจียงเองว่าจะไม่ไปไหน ทางบริษัทจึงได้โอนเงินเดือนให้ตลอด กระทั่งวันหนึ่งคุณจาก็ปิดบัญชีธนาคารหนีไปช่วงเดือน ก.ย.2556
 
“หมายความว่าไม่อยากให้เราโอนเงินให้ ทางฝ่ายกฎหมายของเสี่ยเจียงก็แนะนำว่า กรณีนี้คุณจาจะ Break สัญญา ฝ่ายกฎหมายก็เลยแนะนำว่าให้เอาเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม จึงนำเงินจำนวน 50,000 บาทไปวางไว้ตลอดมา เพื่อมีหลักฐานว่าถ้ามีการดำเนินคดีกัน เราจะไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา จากนั้นทางสหมงคลฟิล์มและเสี่ยเจียงก็เพิ่งมาทราบข่าวว่า คุณจาจะไปแสดงหนังในต่างประเทศ โดยไม่ขออนุญาตจากสหมงคลฟิล์ม จึงแจ้งไปยัง Universal Pictures ให้รับรู้และได้ตอบอีเมลกันว่าปรึกษาผู้ดูแลทางกฎหมายของคุณจาแล้ว และ Universal จะไม่โต้ตอบอีก”
 
ทางสหมงคลฟิล์มยืนยังว่ามีหลักฐานทุกอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายรับรู้เรื่องทั้งหมด แต่ไม่ยอมยุติการสร้างหนังหรือตัดตัวแสดงในส่วนของ “จา พนม” ออก จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย ให้คุ้มกับที่เคยเสียไปกับการลงทุนหลายล้านเพื่อปั้น “โทนี่ จา”
 

 
“เมื่อได้คุณจามาเป็นนักแสดงในสังกัดแล้ว เสี่ยเจียงก็เริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่อง องก์บาก 1, องก์บาก 2, ต้มยำกุ้ง 1, ต้มยำกุ้ง 2 และ ไอ้หนุ่มกังนัม เรื่อง “ไอ้หนุ่มกังนัม” ขณะนี้ คุณจาเอาเงินไป 26 ล้านแล้วทิ้งกองถ่ายไป ไม่แสดง ไม่ส่ง Copy หนังให้ จนบัดนี้ยังไม่ได้อะไรเลย 
 
นอกจากนี้ เสี่ยเจียงยังต้องมีหน้าที่ปรับภาพลักษณ์ให้คุณจา ยังมีรายการค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกหลายอย่าง มีค่าเสื้อผ้า 200,000 กว่าบาท ค่าจัดฟันให้คุณจา 300,000 กว่าบาท ค่าเรียนภาษาอังกฤษอีก 200,000 กว่าบาท ค่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอีก 100,000 กว่าบาท, ค่าประกันชีวิตอีก 400,000 กว่าบาท รวมปรับภาพลักษณ์ตามเอกสารแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 1,378,659.86 บาท
 

“ไอ้หนุ่มกังนัม” หนังที่หายไปกับสายลม
 
จากหลักฐานที่แสดงได้ จะเห็นว่ารายได้ของคุณจาที่สหมงคลฟิล์มจ่าย ทั้งเงินเบิกล่วงหน้า แคชเชียร์เช็ก บ้านอารียา ซื้อและตกแต่งบ้านให้ เยอะแยะไปหมดตามรายการทั้งหมด รวมทั้งหมดเป็นเงิน 6,164,812 บาท ส่วนเงินเดือนคุณจานั้นรับจากเสี่ยเจียงตลอดมาตามสัญญา โอนผ่านธนาคารโดยอัตโนมัติมาเรื่อย จะเห็นได้ว่าไล่มาตั้งแต่ปี 2546-2558 จ่ายมาตลอด”
 
ถ้าปล่อยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเผยแพร่ หลังออกฉายไป 90 วัน จะมีการปั๊มแผ่นขายและขายทางออนไลน์ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งจะถือเป็นการละเมิดทางสหมงคลฟิล์มทั้งขึ้นทั้งล่อง
 
“ถ้าเรื่องนี้เราฟ้องคุณจาคนเดียวข้อหาผิดสัญญา ถามว่าจะบังคับยึดทรัพยต์อะไรจากคุณจา ซึ่งผมคิดว่าไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเพียงพอจะให้ยึดที่จะสามารถชำระความเสียหายได้ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น มีส่วนร่วมในการทำละเมิดและเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ เพราะ Universal จดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วน UIP จดในเกาะฮ่องกง มีสำนักงานตั้งอยู่ตึกอับดุลบราฮิม พระราม 4 ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดได้ เขาฉายหนังเสร็จ เขาก็ขนเงินออกประเทศไป แล้วจะบังคับคดีเอากับอะไร
 

อีกเรื่องที่มี “จา พนม” ถ้าไม่เข้ามาไกล่เกลี่ย บอกเลยไม่มีวันได้ฉายในไทย!
 
ดังนั้น เหลือทางเลือกสุดท้ายในทางกฎหมายเท่านั้นที่จะทำได้ ทำให้ผมจำต้องฟ้อง ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าใครผิด ศาลท่านมองเห็นแล้วว่าคุณจากระทำผิดสัญญาต่อสหมงคลฟิล์ม ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งร่วมทำผิดสัญญาละเมิด ศาลจึงมีคำสั่งให้คุ้มครอง แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของศาลไทย มีอาณาเขตครอบคลุมเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น จึงสั่งห้ามฉายได้เฉพาะประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศ ศาลไทยไม่มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของคำสั่งระงับภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ
 

 

 
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพบางส่วน: แฟนเพจ “คนไทยต้องการดู Fast & Furious 7”