เฟซบุ๊กแยกบริการแชต ตั้งเป็น “Messenger.com” แล้ว

เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการสำหรับเว็บไซต์ Messenger.com บริการแชตจากเฟซบุ๊ก (Facebook) โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ คาดเป็นการกรุยทางสู่ Messenger Business ที่บริษัทเตรียมไว้เป็นเครื่องมือสำหรับการใช้ในเชิงพาณิชย์นั่นเอง
       
โดยเว็บไซต์ Messenger.com นั้นจะแยกต่างหากจาก Facebook.com และรองรับการแชตเต็มรูปแบบ ซึ่งการเปิดอีกหนึ่งโดเมนเนมให้แก่ Messenger.com เป็นอีกก้าวที่ยืนยันว่าการแข่งขันของธุรกิจแชตในปี ค.ศ.2015 นั้นร้อนแรงอย่างมาก
       
การใช้งานเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นก็เรียบง่าย มีเพียงปุ่มให้กรอกอีเมล และพาสเวิร์ดเพื่อเข้าสู่การใช้งาน (ใช้แอ็กเคานต์เฟซบุ๊ก) และเมื่อเข้าสู่ระบบก็จะพบกับหน้าจอขยายใหญ่ มีการแสดงข้อความการแชตในสถานะล่าสุดที่เห็นเด่นชัด
       
การเดินเกมดังกล่าวจึงนำไปสู่การคาดการณ์กันว่า นี่อาจเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ทุกฝ่ายสำหรับโปรดักต์ตัวต่อไปของเฟซบุ๊กอย่าง Messenger Business ซึ่งยูสเซอร์สามารถแชตติดต่อกับบริษัทเจ้าของโปรดักต์ได้โดยตรง เพื่อสอบถาม สั่งซื้อ หรืออัปเดตสถานะการจัดส่งสินค้าด้วย
       
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่คาดหวังว่าจะได้พบฟีเจอร์เด็ดๆ บน Messenger.com นั้นอาจต้องผิดหวัง เนื่องจากในการเปิดตัววันนี้ยังไม่พบว่ามีการผนวกแอปจากนักพัฒนาภายนอกเข้ามาร่วมด้วยบน Messenger.com ดังเช่นผู้บริหารของเฟซบุ๊กเคยกล่าวบนเวทีงานสัมมนา F8 แต่อย่างใด การทำงานของบริการแชตอย่าง Messenger.com จึงทำได้เช่น ก็อบปี้ – วาง ลิงก์ต่างๆ หรืออัปโหลดไฟล์ภาพส่งให้กันเท่านั้น โดยให้บริการในภาษาอังกฤษภาษาเดียว ส่วนภาษาอื่นๆ คาดว่าจะเพิ่มเติมให้ในภายหลัง
       
จุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับ Messenger.com ก็คือ การไม่ถูกรบกวนด้วยฟีดข่าว และความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงในเฟซบุ๊กนั่นเอง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายกับการใช้บริการ MSN ในอดีตอยู่ไม่ใช่น้อย
       
ส่วนปุ่มรูปร่างคล้ายเฟืองที่มุมบนด้านซ้ายมือนั้นเป็นที่เข้าใจกันดีว่าคือ ปุ่มสำหรับตั้งค่าการใช้งาน โดยยูสเซอร์สามารถเข้าไปปรับแต่งได้หลายหัวข้อ เช่น เสียง การแจ้งเตือน การจัดการรายชื่อที่ถูกบล็อก ฯลฯ
       
แม้จะแยกบริการแชตออกมาเป็นโดเมนใหม่แล้วก็ตาม ผู้ที่ยังใช้ Facebook.com ก็ยังสามารถใช้บริการแชตได้ตามเดิม โดยผู้ที่ใช้งาน Messenger.com นั้นคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเน้นการแชตมากกว่าติดตามความเคลื่อนไหวของผู้อื่นบนโซเชียลมีเดียนั่นเอง

ที่มา : http://manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000041518