เฟซบุ๊กชี้ 4G ตัวช่วยดันยอดโฆษณาดิจิตอลให้สูงขึ้น

เฟซบุ๊ก เผยการลงโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลในไทยยังน้อยมากเพียง 4% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินโฆษณาทั้งหมด ชี้ 4G จะช่วยเข้ามาดันให้มูลค่าการใช้สื่อนี้ให้สูงขึ้น เพราะจะมีรูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ ให้เลือกใช้มากขึ้น มองตลาดโทรคมนาคมเมืองไทยมีการแข่งขันกันสูง ส่วนเศรษฐกิจดิจิตอลจะช่วยดัน GNP ของชาติให้เพิ่มขึ้น 30% แนะการโฆษณาผ่านสื่อในปัจจุบันต้องเจาะให้ตรงตัวมากขึ้น มั่นใจโฆษณาบนเฟซบุ๊กมีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาผ่านทางทีวีถึง 200%
 
น.ส.เจน แชทเทิล ประธานฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์การสื่อสารผ่านมือถือ Facebook กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา การใช้งบประมาณการโฆษณาผ่านทางทีวีทั่วโลกมีสัดส่วนอยู่ที่ 60-80% ส่วนสื่อดิจิตอล และโมบายยังอยู่ที่ประมาณ 30% (ข้อมูลจากไอดีซี) ส่วนการลงทุนด้านโฆษณาของโทรคมนาคมของไทยยังมีเพียง 4% ซึ่งยังน้อยมากเมื่อเทียบกับทำการตลาดผ่านสื่ออื่น ซึ่งเรียกได้ว่ายังมีอัตราการเติบโตได้อีกมาก
 
แต่คาดว่าเมื่อมี 4G จะเข้ามาช่วยให้การใช้งบประมาณผ่านสื่อช่องทางนี้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้วิดีโอในการสื่อสาร เป็นต้น และจะทำให้การโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลเติบโตตามไปด้วย ประกอบกับในขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนจากฟีเจอร์โฟนเป็นสมาร์ทโฟน ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี น่าจะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมถึงสินค้า และบริการผ่านช่องทางต่างๆ ได้มากขึ้น
 

นางสาวเจน แชทเทิล ประธานฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์การสื่อสารผ่านมือถือ Facebook
 
“ธุรกิจโทรคมนาคมของไทยปีนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจดิจิตอลจะช่วยเพิ่มอัตราของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ GNP เพิ่มขึ้น 30% ภายในปี 2563 นอกจากนี้ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือหลายรายยังเริ่มให้บริการแพกเกจการใช้งานโซเชียลมีเดียแบบไม่จำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ใช้งานเมืองไทย และรองกับต่อการเป็นประเทศที่ครองการใช้เวลาในสื่อโซเชียลสูงที่สุดในภูมิภาค”
 
ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จำนวนผู้ใช้งานเฟซบุ๊กในเมืองไทยผ่านมือถือ 34 ล้านคนต่อเดือน จากจำนวนผู้ใช้งานแอ็กทีฟบนเฟซบุ๊กทั้งหมดต่อเดือน 36 ล้านคน คิดเป็น 91% ของการใช้งานบนมือถือ ส่วนจำนวนผู้ใช้งานแอ็กทีฟบนเฟซบุ๊กทั้งหมดต่อวัน 25 ล้านคน และจำนวนผู้ใช้งานแอ็กทีฟบนอินสตราแกรมต่อเดือน 7.1 ล้านคน (เมื่อไตรมาสที่ 2) 
 
น.ส.เจน กล่าวว่า ผลสำรวจโดยมิลวาร์ดบราวน์ รวมกับเฟซบุ๊ก พบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก 42% ใช้งานออนไลน์แบบมัลติสกรีน กล่าวคือ ในขณะที่เลื่อนฟีดบนมือถือไปพร้อมๆ กับการดูทีวี 49% หาข้อมูลที่น่าสนใจผ่านมือถือในขณะที่ดูทีวี หรือค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการทีวีที่รับชมอยู่ และพุดคุยกับกลุ่มเพื่อนในโซเชียล ส่วนอีก 51% ได้มองหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อการดูมัลติสกรีนอื่นๆ
 
สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีอัตราการใช้งานโทรศัพท์มือถือเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับบรรดาบริษัท และองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ในประเทศเหล่านี้ก็ให้ความสำคัญต่อการใช้แคมเปญในโมบายมากขึ้น
 

 
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ใช้งานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาบนสมาร์ทโฟนเฉลี่ย 173 นาทีต่อวัน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 147 นาที ใช้เวลาบนแล็ปท็อปเฉลี่ย 129 นาทีต่อวัน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 108 นาที ใช้เวลาบนแท็บเล็ตเฉลี่ย 97 นาทีต่อวัน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 50 นาที และเวลาในการรับโทรทัศน์เฉลี่ย 94 นาทีต่อวัน เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 113 นาทีต่อวัน
 
ทั้งนี้ เทรนด์การหาข้อมูลผ่านมือถือดังกล่าวเริ่มชี้ให้เห็นว่า การลงทุนเพื่อโฆษณาทางทีวีนั้นปัจจุบันไม่ได้มียอดผู้รับชมมากเหมือนในอดีต และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอาจจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อยอดขายที่สูงขึ้น ดังนั้น ผู้ลงโฆษณาควรจะนำเสนอสารไปยังช่องทางที่เหมาะสม เพื่อให้ตรงต่อกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ 
 
ด้าน นายเรย์โนลด์ ดีซิลวา หัวหน้ากลุ่มธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภค เทคโนโลยีโทรคมนาคมและการสื่อสาร Facebook ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า การโฆษณาในปัจจุบันนั้นต้องคำนึงถึงเรื่องของการจดจำของลูกค้า และรวมไปถึงการนำไปสู่การซื้อสินค้าหลังจากที่ได้รับชม โดยผลสำรวจของเฟซบุ๊กพบว่า เฟซบุ๊กสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าสื่อทีวีถึง 8% และสามารถสร้างผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายได้หลายช่องทางมากกว่า
 
เช่นเดียวกับการโฆษณาบนเฟซบุ๊กมีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาผ่านทางทีวีถึง 200% นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตัวมากกว่า และสามารถนำเสนอเรื่องราวให้เหมาะสมต่อรสนิยมส่วนบุคคลได้ รวมไปถึงยังสามารถให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีความสนใจจริงๆ โดยค่าเฉลี่ยแคมเปญต่างๆ ที่เฟซบุ๊กเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องอยู่ที่ 85% ส่วนแคมเปญบนแพลตฟอร์มดิจิตอลอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยเพียง 65% เท่านั้น ซึ่งแคมเปญหนึ่งๆ บนเฟซบุ๊กนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน้อย 50%