ยูบีเอ็มเจาะตลาดความงามอาเซียน ยกกัมพูชา-เมียนมาร์เป็นตลาดน่าลงทุน

 

บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด จัดเสวนาพิเศษในโค้งสุดท้ายก่อนเริ่มงานแสดงสินค้าเพื่อความงามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2016 หรือ อาเซียนบิวตี้ 2016 (ASEANbeauty 2016) ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 เมษายน 2559 ณ ไบเทค บางนา โดยชี้จุดเด่นผู้ประกอบการไทยอยู่ที่การผลิต พร้อมเจาะลึกโอกาสส่งออกสินค้าความงามไปยังแต่ละประเทศในอาเซียน 

มูลค่าสินค้าความงามทั่วโลกกวาด 9.3 ล้านล้าน ไทยเก็บถึง 2 แสน 5 หมื่นล้าน

คุณอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการโครงการบริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มูลค่าของตลาดสินค้าความงามทั่วโลกมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5% ซึ่งที่มาของการเติบโตนั้นเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชากรต่อหัว พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชากรโลกในปัจจุบันที่หันมาใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์และดูแลสุขภาพมากกันมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปี 2017 ตลาดสินค้าความงามทั่วโลกจะมีมูลค่ารวมกว่า 9.3 ล้านล้านบาทและในส่วนของเอเชียพบว่าตั้งแต่ปี 2012-ปัจจุบัน ตลาดเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยมได้เติบโตขึ้นเป็นอันดับ 1 โดยโตถึง 19% และมีมูลค่ากว่า 210,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มอาเซียน มีมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมความงามมากกว่า 500,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้น 3-6% ในแต่ละปี ส่วนในไทย ตลาดสินค้าความงามมีมูลค่ามากถึง 250,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าจากการซื้อ-ขายภายในประเทศ 150,000 ล้านบาท และการส่งออกอีก 100,000 ล้านบาท โดยมีการเติบโตต่อเนื่อง 8-10% ในทุกปี และที่สำคัญคือ 27% ของการส่งออกสินค้าความงามของไทยนั้น เป็นการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งสิ้น

อุตสาหกรรมความงามจึงเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สำคัญและมีส่วนช่วยในการผลักดันระบบเศรษฐกิจของไทยให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ท่ามกลางภาวะวิกฤตและการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพราะไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากในส่วนของการผลิตที่กล่าวได้ว่าเหนือไปกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ครอบครองตลาดความงามที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน, เป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม อันดับ 1 ของโลก, เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางอันดับที่ 17 ของโลกและยังเป็นผู้ส่งออกสกินแคร์ อันดับที่ 12 ของโลกอีกด้วย

39% ของชาวกัมพูชาใช้สกินแคร์, 27% ของชาวเมียนมาร์ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม

คุณอนุชนา วิชเวช ยังได้เปิดเผยอีกว่า โอกาสในการส่งออกสินค้าความงามของไทยไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน มีความแตกต่างกันมาก-น้อยตามความต้องการของผู้บริโภคและปัจจัยที่เกื้อหนุน โดยกัมพูชาและเมียนมาร์ เป็น 2 ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในตอนนี้ เนื่องจากประชากรนิยมใช้เครื่องสำอางไทยและติดตามเทรนด์ความงามโดยมีไทยเป็นต้นแบบ โดยคนกัมพูชามีความเชื่อว่า รูปลักษณ์ที่ดีนั้นสื่อถึงฐานะทางการเงินที่ดี ทำให้ 39% ของชาวกัมพูชามีการใช้สกินแคร์อย่างต่อเนื่อง, 21% ของชาวกัมพูชามีการแต่งหน้าทุกวัน และ 40% ของชาวกัมพูชาเล็งเห็นว่าการเข้าพบแพทย์ผิวหนังมีความสำคัญ โดยผู้ที่มีรายได้ระดับกลางจะเลือกใช้บริการสถานเสริมความงามและบริการทางการแพทย์ในเวียดนามและผู้ที่มีรายได้สูงจะเลือกใช้บริการในไทย หรือสิงคโปร์ ส่วนเมียนมาร์ประชากรที่มีรายได้ระดับกลางและระดับสูงจะเลือกใช้บริการการสถานเสริมความงามและบริการทางการแพทย์ในไทยและสิงคโปร์ โดยอัตราการใช้บริการเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ 150,000 – 200,000 บาทนอกจากนี้ 27% ของชาวเมียนมาร์ ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม

นอกจากนี้ยังมองว่า เวียดนามและอินโดนีเซีย คือพันธมิตรทางการค้าที่ควรจับตามอง เพราะมีขนาดของตลาดที่ใหญ่ และมีประชากรเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้วคนเวียดนามใช้จ่ายต่อหัวมากกว่าคนจีนในการซื้อสินค้าและใช้บริการทางทันตกรรม ส่วนอินโดนีเซียมีการคาดการณ์ว่าตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายมีมูลค่ามากถึง 120,000 ล้านบาทและเติบโตถึง 17% ต่อปี โดยมีความท้าทายเรื่องมาตรฐานฮาลาล และการขนส่ง การกระจายสินค้า เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะกว่า 17,000 เกาะ

ชี้โอกาสส่งออกในแต่ละประเทศของอาเซียน

คุณอนุชนา วิชเวช ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า จุดที่น่าสนใจของการทำการตลาดในแต่ละประเทศของอาเซียน คือ ต้องเสริมความต้องการและเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด กล่าวคือ สำหรับอินโดนีเซีย ต้องมีการเพิ่มพื้นที่การจัดจำหน่ายสินค้าให้กระจายอย่างทั่วถึง,สิงคโปร์ ต้องพยายามขยายตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองให้โตขึ้น, ฟิลิปินส์ ต้องมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าตลาดของผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวพรรณ, เวียดนาม ต้องรักษาความต่อเนื่องของการเติบโตและยอดขาย และจุดสำคัญที่ถือเป็นข้อที่ต้องระวังในการทำตลาดในอาเซียน คือ สินค้าปลอม การรักษาคุณภาพของสินค้า ราคาของวัตถุดิบหลักและแพคเกจจิ้งที่มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น

งาน Aseanbeauty 2016 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28-30 เมษายน 2559  ฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนาซึ่งภายในงานจะมีการจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมความงามอย่างครบวงจร พร้อมการสัมมนาในหัวข้อน่ารู้ เช่น การสร้างแบรนด์สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่, การส่งออกสินค้าความงามและสินค้าเพื่อสุขภาพไปยังอาเซียน และการแสดงสาธิตบนเวทีเรื่องการออกแบบทรงผมให้เข้ากับรูปหน้าและสีผิว การแต่งคิ้ว การทำเล็บ และสปา พร้อมรับคำปรึกษาในการส่งออกสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมาคมและภาคีเครือข่ายผู้ร่วมจัดงาน สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-6426911 และลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.aseanbeautyshow.com