หัวเว่ยจับมือไลก้า ส่ง P9 สมาร์ทโฟนขั้นเทพลงตลาด

กลยุทธ์ปูทางยกระดับแบรนด์จีนสู่แบรนด์ระดับโลก “หัวเว่ย” จับมือ “ไลก้า” สร้างสมาร์ทโฟนขั้นเทพด้วยการนำสุดยอดเลนส์ของไลก้ามาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟน หัวเว่ย P9 และ P9 Plus ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่กรุงลอนดอน อังกฤษเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นวัตกรรมการถ่ายภาพที่ไลก้าผนวกหัวเว่ยครั้งนี้ถือเป็นบริบทใหม่ของการแข่งขันในวงการสมาร์ทโฟน ที่เรียกได้ว่ากระตุกความแรงของซัมซุง กาแลกซี่ S7 และ ไอโฟน SE ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้
 
ดีลระหว่างหัวเว่ย กับไลก้าในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่า ไลก้าเป็นผู้ผลิตกล้องพรีเมียมราคาสูงจากเยอรมนี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการผลิตกล้องหลายรุ่นด้วยมือ ประกอบอย่างพิถีพิถัน รวมถึงการออกแบบกล้องที่ดูย้อนยุค แบบมีสไตล์ในระดับพรีเมียม พร้อมด้วยรูปแบบภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเลนส์ Summarit รวมไปถึงเซ็นเซอร์รับภาพที่มักเลือกใช้ขนาดเท่าฟิล์ม 35 มิลลิเมตรในตัวกล้องขนาดเล็ก ไลก้าจึงมักถูกเลือกจากช่างภาพแนวสตรีท ไลฟ์ ทั่วโลกให้เป็นกล้องคู่ใจ
 
การที่หัวเว่ยร่วมพัฒนากล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนร่วมกับไลก้าจะทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงแบรนด์ และจิตวิญญาณของไลก้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ และมุมมองใหม่ของการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนหัวเว่ยได้เป็นอย่างดี ด้วยกล้องเลนส์คู่บนหัวเว่ย P9 และ P9 Plus ช่วยในการจับภาพทั้งภาพสี และภาพขาวดำ ทำให้ได้ภาพที่สวยคมชัด มีความละเอียดสูง
 
ริชาร์ด หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสซิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า การร่วมมือกับไลก้าครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนหัวเว่ย P9 อย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการสร้างมาตรฐานอีกระดับในการถ่ายภาพของวงการ สมาร์ทโฟนแห่งยุค ปัจจุบัน มีการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพมากกว่า 1 พันล้านภาพต่อปี รวมทั้งมีความนิยมในการถ่ายภาพเพิ่มมากขึ้น การพัฒนผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่รักการถ่ายภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
การผสมผสานระหว่างดีไซน์ และการออกแบบการใช้งานจากหัวเว่ย และไลก้า นำไปสู่ความเหนือระดับของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง เลนส์ เซ็นเซอร์ รวมไปถึงระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการถ่ายภาพที่สมบูรณ์แบบ โดยกล้องตัวแรกนั้นจะให้ภาพสีที่เด่นชัด ในขณะที่กล้องตัวที่ 2 จะเก็บรายละเอียดของภาพขาวดำ การผสานพลังของกล้องทั้ง 2 ตัว ทำให้ได้ทั้งภาพที่มีรายละเอียด มีความลึก และสีของภาพสวยงาม แม้ในสภาวะแสงน้อย โดยผู้ใช้ P9 จะสามารถเลือกใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบ คือ โหมด Standard, Vivid Colors และ Smooth Colors โดยสามารถใช้ P9 เป็นตัววัดแสง เพื่อให้แสง และสีออกมาเสมือนจริงมากที่สุดได้ โดยเฉพาะในโหมดภาพถ่ายแบบขาว-ดำ
 
“จุดเด่นในด้านของเทคโนโลยี เลเซอร์ การคำนวณความเข้มของสี และความคมชัด ด้วยรูรับแสงที่มีขนาดใหญ่ของ P9 ช่วยสร้างสรรค์ลูกเล่นในการถ่ายภาพอย่างความชัด และตื้น โดยรักษาระดับความชัดของจุดกึ่งกลางของภาพได้ในขณะเดียวกัน”
 
โอลิเวอร์ คาลท์เนอร์ ประธานกรรมการบริหาร Leica Camera Ag กล่าวว่า P9 ถือเป็นความสำเร็จของนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของสมาร์ทโฟนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพ ด้วยเลนส์ที่สมบูรณ์แบบตามสไตล์หัวเว่ย และไลก้า โดยไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และจะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ลงสู่ตลาด
 
 
เหนือระดับในด้านการดีไซน์
 
P9 มาพร้อมกระจกหน้าจอคุณภาพสูง 2.5D แบบ Diamond Cut ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับการสร้างยานอวกาศ โดย P9 สีทอง (Haze Gold) หน่วยความจำ 64 GB ดีไซน์เรียบหรูด้วยวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอย ตัวเครื่องด้านหลังมีการออกแบบด้วยเทคนิคเซอร์คอนความเร็วสูง เพื่อเพิ่มแฮร์ไลน์ ทำให้ดีไซน์สวยงาม โค้งมนรับสัดส่วนมากยิ่งขึ้น ส่วน P9 สีขาวเซรามิก (Ceramic White) ตัวเครื่องเทียบเท่างานสีบนยานยนต์ เมื่อสะท้อนกับแสงจะยิ่งให้ความสวยงามของสีมากยิ่งขึ้น
 
พลภัทร์ สายบัวทอง Product Marketing Manager Thailand Rep Office Device Business Dept บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จุดเด่นของ P9 อยู่ที่กล้องตัวหนึ่งเป็นกล้องสี ส่วนอีกตัวเป็นโมโนโครม หรือ ขาว/ดำ การที่ต้องมีกล้อง 2 ตัว เพราะหัวเว่ยมองว่า กล้องขาว/ดำ จะเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า ต่างจากถ่ายรูปมาเป็นสี และมาทำเป็นขาว/ดำทีหลัง ภาพจะไม่ละเอียด แต่ด้วยเซ็นเซอร์เป็นขาว/ดำ ของ P9 บนสมาร์ทโฟนรายแรก ทำให้การเก็บรายละเอียดภาพได้ดีกว่ารวมทั้งมีชิปเซตวัดระยะทำให้ถ่ายภาพเป็นหน้าชัด หลังเบลอได้ โดยเมื่อถ่ายโหมดหน้าชัดหลังเบลอกล้องทั้ง 2 ตัว จะทำงานร่วมกัน หรือทำให้เป็นภาพหน้าชัดหลังเบลอหลังจากถ่ายภาพมาแล้วดึงภาพจากไฟล์มาปรับก็ได้เช่นกัน โดยเวลาถ่ายต้องเลือกเป็นถ่ายกล้องคู่ โหมด wide aperture หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ
 
“P9 เป็นกล้องที่ดีที่สุดของหัวเว่ยแล้วในตอนนี้ โดยคาดว่าด้วยกล้อง 2 ตัว ของ P9 จะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เพราะความไม่เหมือนใคร และไม่มีใครสามารถมาแทนได้ ยิ่งถ้าราคาดีบวกกับฟังก์ชันที่ดีด้วย”
 
พลภัทร์ กล่าวว่า จุดขายของหัวเว่ยอยู่ที่การให้ความสำคัญเรื่องเทคโนโลยี หัวเว่ยลงทุนแต่ละปีด้วยเม็ดเงินมหาศาลนับเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งด้านเน็ตเวิร์ก และเครื่องลูกข่าย เป็นรองแค่กูเกิลเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจนี้ หากไม่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งหัวเว่ยก็จะเป็นเหมือนโนเกีย โมโตโรล่า หรือแบรนด์อื่นๆ ที่ตายไปแล้ว
 
เทคโนโลยีที่หัวเว่ยใส่ไว้ใน P9 และ P9 Plus ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ด้วยการสแกนนิ้วมือแบบ Biometric ที่ป้องกันการเข้าสู่ระบบของตัวเครื่องอย่างแม่นยำ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน อย่าง ฟิงเกอร์สแกน 2.0 ด้วยการจดจำลายนิ้วมือที่ระบบทั่วไปจะมี 4 ระดับ แต่สมาร์ทโฟนบางค่ายใช้แค่ 2 ระดับเท่านั้น ต่างจาก P9 ที่มีถึง 4 ระดับ ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เพราะไม่สามารถใช้สก๊อตเทปมาลอกลายนิ้วมือเพื่อนำไปปลดล็อกเครื่องได้
 
เช่นเดียวกันแนวคิดการมีชิปเซตเป็นของตัวเอง ด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้หัวเว่ยสามารถควบคุมการผลิตได้เองรวมทั้งก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่าง ชิปเซต KIRIN 955 ใน P9 ที่ถูกอัปเกรดจาก KIRIN 950 ที่หัวเว่ยใช้ในสมาร์ทโฟนตระกูล MATE ที่เคยเป็นชิปเซตที่เร็วที่สุดในโลก
 
ส่วนการเป็นแบรนด์จีน ที่ทำให้ผู้คนไม่มั่นใจในคุณภาพ และบริการนั้น ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะหัวเว่ยเลือกที่จะนำเสนอความเป็นแบรนด์จีนลงในตลาด ต่างจากแบรนด์จีนอื่นที่หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นแบรนด์ยุโรป หรือเกาหลี เพราะไม่ได้ใช้ชื่อจีน หัวเว่ยต้องการจะบอกให้รู้ว่าเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ ด้วยการจับมือกับแบรนด์ที่มีมูลค่าระดับโลกอย่างไลก้า และเลือกที่จะใช้ดาราฮอลลีวูดมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และยกระดับหัวเว่ยให้เป็นแบรนด์ระดับโลก
 
สำหรับในไทยนั้น เห็นได้ชัดว่าตลาดไทยกลุ่มผู้ใช้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เลือกใช้แแบรนด์ที่ทำให้คนมองภาพลักษณ์ของตัวเองโดยไม่ได้มองฟังกชันของตัวเครื่องเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง กับอีกกลุ่มที่มองเรื่องสเปก เรื่องความคุ้มค่า เป็นเรื่องสำคัญ
 
“จริงๆ แล้วความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นเรื่องใหญ่ที่มาร์เกตติ้งต้องทำ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ อีกโจทย์เป็นคุณภาพสินค้า เมื่อได้สินค้ามาต้องไม่มีปัญหา และสำคัญที่สุด คือ บริการหลังการขาย 3 เรื่องนี้หัวเว่ยให้ความสำคัญอย่างมาก”
 
เขาย้ำว่า หัวเว่ย ให้ความสำคัญต่อการบริการหลังการขาย โดยเฉพาะเรื่องการอัปเดตเทคโนโลยี หรือฟังก์ชันการใช้งานใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัญหาของผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้นำในตลาด หรือ สมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ตลอดมา และเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นว่าหัวเว่ยจริงจังต่อผู้ใช้ ไม่ได้มาเพื่อขายแล้วไปเลย หรือที่เรียกว่าลอยแพผู้ใช้เหมือนหลายๆ แบรนด์เป็นกัน หัวเว่ยเริ่มให้บริการที่เรียกว่า VIP เซอร์วิส กับหัวเว่ย P8 ซึ่งเป็นบริการสำหรับสินค้าที่เป็นแฟลกชิปโดยเฉพาะ อย่างเครื่องพัง ต้องได้รับการบริการภายใน 1 วันทำการ ถ้าซ่อมไม่ได้ภายใน 1 วันทำการก็เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลย
 
“P9 ล็อตแรกจะลงตลาดวันที่ 16 เม.ย. ส่วน P9 Plus วันที่ 20 พ.ค.ในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนประเทศไทยคาดว่าประมาณเดือน มิ.ย.โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะนำรุ่นไหนมาจำหน่าย ซึ่งคาดว่าราคาคงไม่ต่างกับประเทศอื่นมากนัก”