บรรหาร ศิลปอาชา ตัวแปร ทรงอิทธิพล

ในการแข่งขันไม่ว่าธุรกิจหรือการเมือง ส่วนใหญ่ผู้คนมักจะมุ่งความสนใจไปที่คู่ขับเคี่ยวอันดับหนึ่งและสอง และหลายครั้งที่อันดับสามจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลขึ้นมาได้ในฐานะที่เป็น “ตัวแปร” ในสภาพที่อาจเรียกว่า “กึ่งแข่งขัน กึ่งร่วมมือ” (Co-opetitive) ได้กับทั้งคู่สองอันดับแรก

ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมือง บรรหารสร้างฐานะเติบโตมาจากการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยการลงสมัคร ส.ส. กับพรรคชาติไทย ไต่เต้าสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรค รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีในที่สุดเมื่อปี 2538 ด้วยความใหญ่ของพรรคที่มาจากการรวม ส.ส. หลายกลุ่มจากหลายพรรคเข้ามาไว้ด้วยกัน

แต่ต่อมาด้วยสถานการณ์ที่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลกดดันให้ลาออก บรรหารได้ปฏิรูประบบพรรคใหม่ ซึ่ง นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคที่เป็นคนเก่าคนแก่ของพรรค เล่าไว้ในเว็บไซต์พรรคชาติไทยว่า ถึงเช้าวันหนึ่งที่หัวหน้าพรรคถามเขาว่า “คุณนิกร คุณจะเสียใจไหมถ้าพรรคของเราซึ่งมีจำนวน 90 กว่าในขณะนี้จะเหลือเพียงแค่ 40 คน”

นิกรยังถ่ายทอดคำพูดหัวหน้าพรรคเพิ่มเติมว่า “แนวคิดการรวมกลุ่มการเมืองเข้าด้วยกันนั้นไม่ได้ผล เพราะมีมากในจำนวน แต่ขาดคุณภาพ ที่สำคัญกว่านั้นคือขาดการมีเอกภาพทางความคิดและการกระทำเป็นหนึ่งเดียว ไม่เฉพาะแต่สร้างปัญหาให้กับการบริหารพรรคเท่านั้น แต่ในการบริหารประเทศก็พลอยมีปัญหาไปด้วย”

จากการลดขนาดพรรคครั้งนั้นมาถึงปัจจุบัน พรรคชาติไทยจะได้คะแนนเสียง ส.ส. อยู่ราวไม่สูงกว่าอันดับ 3 เสมอ เกิดสภาพ “Small is powerful” ในอันดับสามที่เป็น “ตัวแปร” อยู่เสมอ ด้วยการวาง Positioning ของหัวหน้าพรรคบรรหารที่ไม่ผูกติดเป็นพันธมิตรถาวรกับพรรคใดพรรคหนึ่ง

และด้วยสไตล์การบริหารเฉพาะตัว ทำให้บทบาททิศทางของพรรคชาติไทยนั้นอยู่ในมือบรรหารคนเดียวแทบจะทั้งหมด

ชายผู้นี้จึงเป็นตัวแปรทางการเมืองไทยที่ใครๆ จับตามอง โดยเฉพาะการยุบสภาครั้งที่ผ่านมา ในวันที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ที่พรรคชาติไทยชะลอการตัดสินใจไปข้ามวันทำให้ถนนทุกสายทั้งจากไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ และสื่อทุกเจ้าพุ่งตรงไปที่พรรคชาติไทย หรือ “บ้านจรัญสนิทวงศ์” กันหมด

บทวิเคราะห์ตามสื่อการเมืองต่างๆ ถึงกับมองว่า หากวันนั้นบรรหารตัดสินใจนำพรรคชาติไทยร่วมกับประชาธิปัตย์คว่ำบาตรการเลือกตั้งทันทีพร้อมกัน การเลือกตั้ง 2 เมษาก็จะเปิดขึ้นไม่ได้ และนายกฯทักษิณต้องลาออกวันนั้นเลยทีเดียว

แม้ในที่สุดพรรคชาติไทยจะเข้าร่วมคว่ำบาตร แต่น้ำหนักของการคว่ำบาตรก็ลดลงอย่างยิ่งจากการชะลอการตัดสินใจช้าไปเพียงวัน และในอีกด้านหนึ่งตามสื่อยังปรากฏข่าวหัวหน้าพรรคชาติไทยได้พบปะ “กินข้าว” กับนายกฯ ทักษิณ ขณะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

ไม่ว่าหน้าฉากการเมืองจะปรากฏออกมาอย่างไร แต่หลังฉากของทุกฝ่ายจะมี “ถนนสายรอง” ต่อไปยังพรรคชาติไทยและบ้านจรัญสนิทวงศ์ของบรรหาร ศิลปอาชา อยู่เสมอ