“ช้อปปิ้งที่บ้าน”กับสหพัฒนฯ

300-400 ครั้งต่อเดือน ครั้งหนึ่ง 5 นาที หรือ 1,500 นาทีต่อเดือน ที่คุณจะเห็นเธอคนนี้ ในเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในช่องไอทีวี และเนชั่น ชาแนล รวมไปถึงเคเบิลทีวีอีกหลายเครือข่าย จนทุกวันนี้ “เบ๊คกี้” กลายเป็น ”เจ้าแม่โฮมช้อปปิ้ง” ที่คนทั่วไปรู้จัก

“เบ๊คกี้” หรือ “รมิดา รัสเซลส์ มณีเสถียร” หรือที่เจ้าตัวบอกว่ามีชื่อทางการค้าว่า”ริสา หงส์หิรัญ” ปัจจุบันนั่งเป็นผู้บริหารในตำแหน่ง Executive Director บริษัทมิตรพัฒนา โฮมช้อปปิ้ง หรือสหกรุ๊ป โฮมช้อปปิ้ง ในเครือสหพัฒนพิบูล

“เบ๊คกี้” กลายเป็นโลโก้ของโฮมช้อปปิ้ง ตั้งแต่ต้นปี 2549 ที่กลุ่มสหพัฒนฯเริ่มตั้งบริษัท โดยมีกลุ่มบริษัทมิตซุย จากญี่ปุ่นร่วมถือหุ้นในสัดส่วนสหพัฒนฯ 70% และมิตซุย 30%

ส่วนที่มาที่ไป คือ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ครอบครัวโชควัฒนา มองว่าถึงเวลาที่สหพัฒนฯควรเริ่มต้นช่องทางขายผ่านทีวีได้แล้ว เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนที่กำลังเปลี่ยนไป มีโอกาสสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้านมากขึ้น ซึ่งการมีญี่ปุ่นเป็นผู้ร่วมทุนก็ได้เรียนรู้ Know how ในธุรกิจนี้จากกลุ่มมิตซุยด้วย

แผนธุรกิจตั้งแต่ต้น กำหนดไว้ว่าต้องการให้คนจดจำว่าหากต้องการนั่งอยู่ที่บ้าน ดูโทรทัศน์ เห็นรายการแนะนำสินค้า ตั้งแต่เครื่องออกกำลังกาย เครื่องใช้ไฟฟ้า จนถึงเครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์สั่งซื้อสินค้า ก็สั่งซื้อกับ ”เบ๊คกี้” ได้เล้ย….

กลยุทธ์ของสหกรุ๊ป โฮมช้อปปิ้ง นั้น ”เบ๊คกี้” บอกว่า ”ตั้งแต่เริ่มต้น ต้องการสร้างความแตกต่างจากโฮมช้อปปิ้งรายอื่น ที่ส่วนใหญ่ มักใช้เทปจากต่างประเทศมาออกอากาศ

“เมื่อเรามี Benefit เดิม เป็นพิธีกร เคยทำโปรดักชั่นส์ มีความคล่องงานการขาย ก็เป็นพิธีกรเองได้ เราสร้างภาพลักษณ์ชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นเราจะเหมือนรายการทีวีช้อปปิ้งอื่นที่เพิ่มขึ้นมากมายขณะนี้ และเรื่องความ Loyalty ก็สำคัญ เราคิดว่าคนอื่นไม่มีเท่าไหร่ เพราะเราเป็น Director ของบริษัท มาเป็นพิธีกรเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนอื่นจ้างไปเป็นพิธีกรซ้ำกับเรา”

การได้ออกทีวีบ่อยๆ เพื่อขายสินค้า กลายเป็นที่จดจำทำให้หลาย ๆ ครั้งที่ ”เบ๊คกี้” เจอหน้ามิตรรักแฟนเพลง ก็มักถูกแซวว่า ”ทำไมมายืนตรงนี้ ทำไมไม่ไปขายของ”

สำหรับสินค้าที่เป็นที่นิยมมียอดสั่งซื้อสูงของสหกรุ๊ปฯ มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูดฝุ่น เตารีด งานของแม่บ้าน ลำดับต่อมาเป็นพวกเครื่องออกกำลังกาย เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าในเครือสหพัฒนฯ

หลายคนอาจเข้าใจว่าสหพัฒนฯเข้าสู่ช่องทางการขายนี้ เพื่อกระจายสินค้าในเครือเท่านั้น ความจริง ”เบ๊คกี้” บอกว่าไม่ใช่จุดประสงค์หลัก เพียงแต่ว่าต้องการขยายฐานธุรกิจใหม่ เพราะในเครือมีธุรกิจหลากหลายที่สามารถนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้ เช่น มีระบบจัดส่งสินค้า ที่สามารถใช้บริการจากระบบรถขนส่งสินค้าของสหพัฒนฯที่ไปทั่วประเทศ มี 108 ช็อป ที่มีสาขาทั่วประเทศ มีคอลเซ็นเตอร์ และระบบ CRM ในการบริหารลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ด้วยความที่มาทีหลังเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดอย่างทีวี ไดเร็ค ทำให้ต้องพยายามหากลยุทธ์ที่แตกต่าง ซึ่งสหกรุ๊ปใช้วิธีการสื่ออย่างตรงไปตรงมา ในรายการประเภทระบุชัดเจนว่าแนะนำสินค้า ไม่ได้ใช้วิธีการ Tie in เข้าไปในรายการใดรายการหนึ่ง เพราะสินค้าที่เรานำเสนอนั้นมีความหลากหลาย ทั้งของคู่ค้า และของในเครือสหพัฒนฯเอง หากบางสินค้าใช้ Tie in เข้าไปอาจมีต้นสูงเกินไป ไม่คุ้มต่อการลงทุน

“วิธีที่เรานำเสนอคือ ใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ได้ทดลองใช้ของของเรามาคุย หรืออาจมีเจ้าของสินค้า มีการบอกว่าให้เอาสินค้าไปใช้แล้วไม่ชอบสามารถคืนได้ ซึ่งเทรนด์ใหม่ที่จะนำเสนอ คือโทรปุ๊บส่งมาถึงหน้าบ้านทันที หรือใช้เวลาไม่นาน ให้ความสะดวกเมื่อเทียบกับต้องเดินไปหาซื้อเอง ซึ่งที่ผ่านมาเรามีลูกค้าต่างจังหวัด ไกลมาก บนเกาะก็สั่งซื้อของเรา ซึ่งเราก็ส่งให้ถึงที่”

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในธุรกิจนี้อยู่ตรงที่ต้องลุ้นกับการเปลี่ยนใจของลูกค้า

“เบ๊คกี้” เล่าว่ามีลูกค้าส่วนหนึ่งแต่ไม่เกินประมาณ 5% ที่เปลี่ยนใจขอยกเลิกการสั่งซื้อ บางครั้งของส่งถึงบ้านแล้ว แต่ปฏิเสธไม่จ่ายเงิน เพราะไม่ต้องการแล้ว เพราะฉะนั้นกลยุทธ์หนึ่งก็ต้องพยายามส่งให้ได้เร็ว เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นสินค้า

จุดสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จนั้น จากการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นปี 2549 “เบ๊คกี้” บอกว่าการพยายามสร้างความถี่ให้ผู้ชมได้ดูรายการแนะนำสินค้า ในจังหวะและเวลาการออกอากาศที่เหมาะสม และการพยายามเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ซึ่งเดือนแรกๆ ที่เริ่มธุรกิจ ยอมรับไม่ได้ตามเป้า แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าจนถึงสิ้นปีจะมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท

ผลสำเร็จในเวลานี้ คือมีลูกค้าสนใจโทรเข้ามาสอบถามวันหนึ่งหลายร้อยสาย และในอนาคตมั่นใจว่าจะมียอดลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการพยายามจัดระบบฐานสมาชิกที่ใช้สินค้าในเครือสหพัฒนฯ ภายใต้การดูแลของธรรมรัตน์ โชควัฒนา บุตรชายคนโตของ ”บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานกลุ่มบริษัทสหพัฒนพิบูล

ขณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 1 ล้านคน และภายใน 3 ปี จะมียอดสมาชิกประมาณ 5 ล้านคน กลุ่มสมาชิกเหล่านี้ จะได้รับข่าวสารความเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ เช่นแจกแค็ตตาล็อกสินค้าปีละ 2 ครั้ง แจ้งยอดผ่านจดหมายทุก 2 เดือน โดยส่วนใหญ่มาจากฐานลูกค้าชุดชั้นใน และเครื่องสำอางในเครือ

”ธรรมรัตน์” มองว่าลูกค้ากลุ่มนี้สามารถต่อยอดแนะนำให้สนใจสินค้าอื่นในเครือได้ โดยใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสมบูรณ์แบบ

ถึงเวลานั้นสินค้าโฮมช้อปปิ้งจากค่ายสหพัฒนฯ อาจมีอยู่เต็มบ้านคุณอย่างไม่รู้ตัว โดยที่ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนเลยก็ได้…